กระบะสไตล์อเมริกันพันธุ์แกร่งในนาม New Chevrolet Corolado 2016 จะเกิดการพัฒนาในด้านใด และสมรรถนะที่ติดตั้งใหม่จะเข้าทางกลุ่มเป้าหมายได้ขนาดไหน ทั้งหมดเกิดขึ้นในกิจกรรมการทดสอบซึ่งทาง บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดขึ้นเพื่อให้สื่อมวลชนได้ลองขับก่อนที่รถรุ่นนี้จะขึ้นโชว์ตัวทุกโชว์รูมทั่วประเทศเร็วๆนี้ เรื่องราวทั้งหมดติดตามได้จากรายงาน
New Chevrolet Corolado 2017 เป็นการสานต่อตำนานความสำเร็จของรถกระบะเชฟโรเลตที่มีประวัติยาวนานเกือบ 100 ปี การพัฒนาในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทีมวิศวกรของประเทศไทย ออสเตรเลีย บราซิล รวมถึงสหรัฐอเมริกา ผ่านการทดสอบสมรรถนะการขับขี่ในระหว่างการพัฒนามากกว่า 360,000 กิโลเมตร พร้อมจำลองการทดสอบเป็นระยะทางประมาณ 12 ล้านกิโลเมตร เพื่อให้แน่ใจว่ากระบะพันธุ์แกร่งตอบสนองต่อความต้องการของตลาด
New Chevrolet Colorado 2017 ได้รับการออกแบบใหม่ให้แข็งแกร่ง ตัวถังรูปทรงบึกบึนเสริมภาพลักษณ์แห่งความสมบุกสมบัน มากับขนาดตัวรถ ยาว 5,408 มม. กว้าง 2,132 มม. และสูง 1,858 มม. พร้อมยางรองแท่นเครื่องแบบใหม่ที่ลดเสียงและการสั่นสะเทือน
ดีไซน์เส้นสายสวยงาม ชัดเจน จากการประยุกต์ดีเอ็นเอของกระบะอเมริกันพันธุ์แท้ผ่านการออกแบบด้านหน้าใหม่ที่เน้นความสปอร์ตทั้งแผงกันชน กระจังหน้า ฝากระโปรง และไฟหน้า สะดุดตาด้วยไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวันแอลอีดีรูปทรงเรียวบางรวมไว้ในโคมเดียวกับไฟหน้า
ในส่วนของมุมมองจากท้ายรถยังใกล้เคียงกับรุ่นเดิม แต่ได้รับการพัฒนามือเปิดกระบะหลังซึ่งฝังกล้องบันทึกภาพขณะถอยจอด รวมถึงล้อแมกขอบ 18 นิ้ว
ห้องโดยสารเน้นไปที่จุดเด่นด้านความเงียบ ได้รับการพัฒนาให้มีเสียงรบกวนลดลง 8 เปอร์เซ็นต์หรือ 4 เดซิเบล จากการเปลี่ยนกระจกหน้าที่หนาขึ้น รวมถึงขอบยางเกรดพรีเมี่ยม การปรับปรุงด้านการลดเสียงลมยังทำให้เพิ่มความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ขึ้นอีก 12 เปอร์เซ็นต์
ภายในตกแต่งใหม่ทั้งหมดเพื่อความสะดวกสบาย และกว้างขวาง เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงให้ผิวสัมผัสนุ่มนวลพร้อมการตัดเย็บที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เบาะนั่งถูกยกระดับในสไตล์พรีเมียมเพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้ขับขี่และผู้โดยสารโดยเฉพาะ
ชุดแดชบอร์ดแสดงการทำงานของระบบต่างๆไว้ครบครัน ทั้งมาตรวัดความเร็ว รอบเครื่องยนต์ และสัญลักษณ์ของระบบความปลอดภัยอื่นๆ รวมถึงระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง
คอนโซลกลางปรับแต่งให้ใช้งานง่าย มีหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว และระบบ Chevrolet My link รุ่นล่าสุด ทั้งยังเป็นรถกระบะรุ่นแรกที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplays และ Android Auto ที่มากับฟังก์ชั่นSiri Eyes Free ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย
New Chevrolet Colorado 2017 ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลดูราแม็กซ์แบบ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผันหรือ VGT (Variable Geometry Turbocharger) ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที และ แรงบิด 440 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ควบคุมโดยกล่องอีซียูซึ่งเจเนอรัล มอเตอร์ เป็นผุ้พัฒนา รวมถึงติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงรบกวนบริเวณหัวฉีด เพื่อให้ทำงานได้เงียบขึ้น
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ และ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ได้รับการปรับแต่งอัตราทดเกียร์ใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะและความประหยัดน้ำมัน
ระบบกันสะเทือนชุดใหม่ซึ่งเป็นโช๊คอัพแบบไดเกรสซีฟ มีระยะยุบและคืนตัวแข็งขึ้นพร้อมเปลี่ยนค่าเคของสปริงใหม่ และปรับขนาดเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังยังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อนลดจำนวนจาก 5 แผ่นเหลือเพียง 4 แผ่น แหนบชิ้นล่างมีความยาวกว่าเดิม พร้อมเปลี่ยนขนาดของกระบอกโช๊คอัพหลังใหม่ซึ่งใหญ่และแข็งแรงขึ้น ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายและมีเสถียรภาพการทรงตัวที่น่าประทับใจ
จัดเต็มกับระบบความปลอดภัยแบบแอคทีฟและแพสซีฟ อาทิ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทั้งขณะออกตัวและในโค้ง Traction Control System (TCS), ระบบรองรับการเบรกกะทันหัน Panic Brake Assist (PBA), ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control (ESC), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน Hill Start Assist (HSA) พร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตลอดจนถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่
นอกจากนี้ยังอัดแน่นด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ ได้แก่ ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและหลัง และระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง และเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝน ไฟหน้าเปิด/ปิดอัตโนมัติ ทั้งยังมีฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท รวมถึงระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและกล้องมองหลังช่วยให้การขับขี่ในที่คับแคบมีความสะดวกง่ายดายมากขึ้น
มาถึงกิจกรรมการทดสอบที่บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดขึ้นโดยนำพาคณะสื่อมวลชนไปทดลองสมรรถนะการขับขี่ของ New Chevrolet Colorado เริ่มต้นจากถนนสาธรไปยังบริเวณชายแดนไทย-พม่า แถบเทือกเขาตะนาวศรี ในส่วนเส้นทางออฟโรดรอบๆอ่างเก็บน้ำโป่งแห้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
ขับขี่แบบออนโร๊ด ที่มาของการสัมผัสสมรรถนะแกร่ง
ช่วงเริ่มต้นเป็นการขับขี่ในรูปแบบออนโร๊ดบนถนนลาดยาง ระบบแรกที่ได้ลองคือ Remote Engine Start หรือการสตาร์ทเครื่องยนต์จากกุญแจ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรถยนต์ที่เตรียมจำหน่ายในปีนี้ และเป็นครั้งแรกที่นำระบบดังกล่าวมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถกระบะ พร้อมทั้งการันตีตัวเลขการทำงานของสัญญาณได้ไกลหลายสิบเมตร เมื่อระบบทำงานกระจกทั้ง 4 บานจะลดตำแหน่งลงอัตโนมัติเพื่อถ่ายเทความร้อนในห้องโดยสาร แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่จับมือเปิดประตู กระจกคู่หน้าจะลดระดับลงประมาณ 5 ซม. เพื่อปิดประตูสะดวกขึ้น ทั้งนี้ระบบดังกล่าวต้องนำกุญแจมาเสียบเพื่อสตาร์ทรถก่อนออกเดินทางอีกครั้งและหากไม่มีการเคลื่อนตัวหรือสตาร์ท ระบบจะหยุดการทำงานในระยะเวลาประมาณ 20 นาที
เบาะนั่งผู้โดยสารมีระบบไฟฟ้าที่ช่วยในการปรับเซทท่านั่งได้สบายขึ้น แต่มีปัญหาเล็กน้อยอยู่ที่การปรับระดับพวงมาลัย ซึ่งปรับได้เพียงขึ้นและลง แต่ไม่สามารถยืดและหดให้เข้ารับกับสรีระได้ ในด้านของพวงมาลัยไฟฟ้าได้รับการพัฒนาใหม่ สัมผัสได้ถึงน้ำหนักการหมุนที่ค่อนข้างเบาลงกว่าเดิม ประเด็นนี้ทางผู้บริหารได้ไขข้อข้องใจว่า “ปัจจุบันมีผู้หญิงให้ความสนใจซื้อรถกระบะเพิ่มขึ้นทำให้น้ำหนักของพวงมาลัยเบาลงตามผลการวิจัย แต่ในย่านความเร็วสูงจะแปรผันให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพื่อการควบคุมรถที่แม่นยำและมั่นใจได้”
ฟังค์ชั่นที่น่าสนใจอีกหนึ่งระบบคือ Chevrolet My link พร้อมรองรับการเชื่อมต่อระบบ Apple Car play และ Android Auto บนหน้าจอขนาด 8 นิ้ว ที่มาพร้อมฟีเจอร์ SIRI EYES FREE ซึ่งเป็นการสั่งงานด้วยระบบเสียงภาษาไทย ไม่ต้องออกเอกเซ็นเหมือนรุ่นก่อนๆที่ทำงานบ้างไม่ทำงานบ้างตามสำเนียงภาษาที่เปล่งออกไป
มาถึงไฮไลท์เด่นคือเรื่องของขุมพลัง จากเดิมที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลดูราแม็กซ์แบบ 4 สูบขนาด 2.8 ลิตร ได้ถูกยกออกพร้อมพัฒนาเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตรเข้าไปแทนที่ ถึงแม้ว่ามีขนาดความจุที่ลดลงจากรุ่นเดิม แต่ก็สามารถสร้างแรงม้าได้ถึง 180 แรงม้าที่3,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงถึง 440 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที สนองความต้องการของวัยมันได้เป็นอย่างดี ในย่านความเร็ว 100-120 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 รอบต่อนาที
รถทุกคันที่ได้นำมาทดสอบในครั้งนี้ล้วนเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะทั้งสิ้น รอยต่อของเกียร์ยังคงสัมผัสได้ ไม่ถึงกับนุ่มและไหลลื่นแบบรถซีดาน แต่ก็ไม่ได้กระตุกจนหัวทิ่มเหมือนรถกระบะเกียร์อัตโนมัติในอดีต และเมื่อผ่อนคันเร่งจะมีตำแหน่งเกียร์จะลดลงพร้อมมี Engine Brake เข้ามาเสริม ทั้งนี้เป็นผลพวงจากเรื่องความปลอดภัยเพราะจะช่วยลดทอนแรงเบรคขณะที่เกิดเหตุการณ์คับขัน
ในส่วนของระบบช่วงล่างกับความเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้ถึงความนุ่มหนึบ ตลอดเส้นทางที่ใช้ความเร็วในการเข้าโค้งของถนนหลวง ลืมระบบช่วงล่างแบบกระบะรุ่นเดิมๆไปก่อนเพราะการพัฒนาในครั้งนี้ วิศวกรผู้ออกแบบค่อนข้างจริงจังกับปัญหาความแข็งกระด้างของระบบช่วงล่างรถกระบะและต้องการให้เกิดความแตกต่าง ทั้งดีไซน์กระบอกโช๊คอัพใหม่ ค่าเคของขดสปริง และแหนบที่ถูกถอดออกไปหนึ่งแผ่น
ความอัจฉริยะของระบบความปลอดภัยใน New Chevrolet Colorado ที่สัมผัสได้ตลอดการขับขี่คือระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร รูปแบบการทำงานคือจะส่งเสียงเตือนแต่ไม่มีการหักพวงมาลัยกลับมาในช่องทางเดิม แต่ถ้าคุณมั่นใจในการขับขี่หรือไม่ต้องการตัวช่วยระบบนี้ สามารถปิดการควบคุมได้จากสวิตช์ที่อยู่ใต้คอนโซลกลาง
ระบบช่วยเหลืออีกหนึ่งรูปแบบคือ ระบบแจ้งเตือนการชนจากด้านหน้าที่จะคอยส่งเสียงพร้อมไฟสัญญาณมาที่ชุดแดชบอร์ด โดยมีเซนเซอร์ตรวจจับอยู่ที่บริเวณกระจกหน้า
เส้นทางออฟโร๊ด ลุยได้สบายทุกสภาพพื้นผิว
มาถึงการลุยในรูปแบบออฟโร๊ดสำหรับขาลุยกันดูบ้างว่าไหวหรือไม่ ความสนุกเกิดขึ้นหลังจากที่จบการทดสอบบนถนนลาดยาง เส้นทางต่อจากนี้ไปคือการทดสอบในรูปแบบออฟโร๊ดล้วนๆ โดยใช้พื้นที่รอบๆอ่างเก็บน้ำโป่งแห้ง ที่อยู่ติดกับชายแดนไทย-พม่า โดยมีเพียงแนวเทือกเขาตะนาวศรีกั้นกลางระหว่างพื้นที่ทั้ง 2 ประเทศ สภาพเส้นทางคงไม่ต้องพูดถึงว่าตะเข็บชายแดนมีความกันดานมากน้อยเพียงไร
ก่อนทำการทดลองขับในทางลุย มีการโชว์ศักยภาพของระบบ Remote Engine Start แม้ว่าตัวรถจะอยู่ห่างกุญแจรีโมทที่กะคร่าวๆด้วยสายตาไม่ต่ำกว่า 100 เมตร ในที่โล่งของยอดเขา ความสามารถของระบบนี้ทำงานได้แบบน่าอัศจรรย์ พร้อมกับโชว์สมรรถนะเครื่องยนต์โดยการลากจูงรถบ้านจากค่าย Air Straem ที่มีน้ำหนักกว่า 3 ตันได้อย่างสบาย
กิจกรรมในช่วงนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม รถทั้งหมดที่ถูกนำมาทดสอบในครั้งนี้เป็น New Chevrolet Colorado HighCountry ซึ่งแบ่งเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 6 คัน และรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อยกสูงอีก 6 คัน กลุ่มแรกไปลุยด้วยรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยการบิดสวิตช์สำหรับใช้งานระบบขับเคลื่อนสีล้อที่อยู่บริเวณหลังคันเกียร์ให้ไปอยู่ในตำแหน่ง 4 LOW
สภาพเส้นทางค่อนข้างสมบุกสมบัน ทั้งทางชันมีร่องลึก เรียกว่าถ้าตกร่องหรือผิดไลน์ น่าจะสร้างความเสียหายให้กับรถได้พอสมควร บางช่วงของเส้นทางเป็นแอ่งน้ำขังที่มีสภาพพื้นผิวเป็นดินโคลน แต่ด้วยกติกาของการใช้งานเครื่องยนต์ให้อยู่ไม่เกิน 2,500 รอบต่อนาที ซึ่งถือเป็นการทดลองแรงบิด 440 นิวตันเมตร เป็นอะไรที่น่าลุ้น แต่ทั้งคณะก็ผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้ด้วยดี
ช่วงทางลงเขายังได้มีการทดลองระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันหรือ Hill Descent Control ซึ่งเป็นระบบช่วยเหลือเพื่อให้การควบคุมรถทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องสัมผัสกับแป้นเบรคตลอดเวลา กล่าวคือระบบจะใช้ Engine Brake จากเครื่องยนต์มาช่วยควบคุมความเร็วเพื่อให้สัมพันธ์กับองศาความลาดชันของสภาพเส้นทาง
เสร็จภารกิจลุยช่วงแรก ถึงเวลาเปลี่ยนมาลุยในรูปแบบขับเคลื่อน 2 ล้อดูบ้าง สภาพเส้นทางอาจมีความลาดชันน้อยกว่าช่วงทดสอบแรก เพราะมีระบบขับเคลื่อนเป็นตัวแปร แต่ก็ใช่ว่าจะขับขี่กันได้อย่างสบาย เพราะบางช่วงยังมีเนินชันซึ่งถ้าหากว่าแรงบิดน้อยกว่านี้คงไม่สามารถข้ามยอดเนินไปได้ หนำซ้ำยังมีทางบังคับที่ต้องลุยผ่านลำห้วย พอให้ได้ลุ้น ตามการเคลมจากผู้ผลิตว่า New Chevrolet Colorado HighCountry สามารถลุยน้ำในระดับ 800 มม. แต่ช่วงนี้ระดับน้ำยังไม่สูงมากนัก วัดจากสายตาไม่น่าเกิน 500 มม. จึงทำให้กิจกรรมสำหรับช่วงทดสอบที่ 2 ผ่านฉลุย
บทสรุปการทดสอบ New Chevrolet Colorado HighCountry 2017 นอกจากรูปลักษณ์สง่างามและลงตัวขึ้นกว่ารุ่นเดิม สิ่งที่โดดเด่นนั่นคือเรื่องของเครื่องยนต์ซึ่งปรับลดขนาดลงจากเดิมให้เหลือเพียง 2,500 ซีซี แต่ให้กำลังถึง 180 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงถึง 440 นิวตันเมตร โดยผ่านการพิสูจน์สมรรถนะทุกรูปแบบการใช้งาน รวมถึงระบบช่วงล่างที่โดดเด่นจนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านความนุ่มหนึบและยึดเกาะถนน อีกหนึ่งเรื่องคือระบบช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยที่ถือเป็นการยกระดับกระบะจากค่ายโบว์ไทพ์สีทองได้อย่างน่าภูมิใจ
การกลับมาของกระบะเรือธงในครั้งนี้ผู้บริหารเชฟโรเลตได้ประกาศไว้ว่าจะมาแย่งชิงตลาดรถกระบะในประเทศไทยให้ได้ คงต้องมาดูอีกครั้งว่าการกลับมาในครั้งนี้ จะแบ่งเค๊กก้อนโตในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ของเมืองไทยได้ขนาดไหน อ่านกันมาจนถึงช่วงท้ายชักสงสัยแล้วใช่หรือไม่ครับว่าค่าตัวของ New Chevrolet Colorado HighCountry 2017 จะมีสนนราคาเท่าไหร่ คำตอบนี้ผมไม่มีให้ รอกันอีกสักนิดภายในเดือนกรกฏาคมนี้พร้อมโชว์ตัวและประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการแน่นอน