เมื่อปี 2023 ที่ประเทศอินโดนิเซีย Mitsubuishi ได้ประกาศเปิดตัวรถ X force ลงสู่ตลาดเป็นรถ SUV ใหม่รุ่นแรกที่เข้ามาใน B Segment ซึ่งใหม่มากสำหรับ Mitsubuishi คือที่มีอยู่ก็เป็น Pajero Sport ที่เป็นรถ PPV และ Expander ที่ขนาดใหญ่กว่านี้เป็นรถMPVขนาดใหญ่กว่านี้มีที่นั่ง 3 แถวแนวที่ตลาดอินโดนิเซียต้องการและส่งเข้ามาไทยก็ได้รับการตอบรับอย่างดีมากๆเช่นเดียวกัน X force ในอินโดนิเซียใช้เครื่องยนต์ MIVEC 1.5 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 105 แรงม้า ที่ใช้อยู่กับ Expender นั่นเอง แต่เมื่อมาถึงไทย X force ได้รับการพัฒนาใหม่โดยวิศวกรไทยทำงานร่วมกับวิศวกรมิตซูบิชิมอเตอร์ส ญี่ปุ่น ให้เป็น X force HEV ที่ setup ใหม่ทั้งระบบขับเคลื่อน จากเครื่องยนต์ที่จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และชุดช่วงล่างที่จะต้องรองรับกันอย่างลงตัวที่สุด โดยไทยจะเป็นฐานการผลิต X force HEV ไม่เพียงแต่รองรับตลาดไทยเท่านั้นแต่จะส่งต่อไปประเทศต่างๆอีกด้วย และ Mitsubuishi ได้ประกาศเปิดตัวรถ X force HEV ในไทยไปเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2025 ที่ผ่านมานี้เอง
มารู้จักกับ X force HEV กันให้มากขึ้น
Mitsubuishi X force HEV มีหน้าตาที่ได้รับการออกแบบมาตั้งแต่ก่อนปี 2023 จึงยังคงมีอิทธิพลของดีไซน์เฉียบคมแบบล้ำๆของ Mitsubuishi เดิม ที่เราได้เห็นจาก Expander หรือ Triton ซึ่งถือเป็นความดีงามที่เกิดมาก่อนจะเข้ายุค Triton ใหม่ ทำให้ X force ยังดูโฉบเฉี่ยว
โดยเฉพาะชุดโคมไฟหน้าที่เป็น LED เต็มรูปแบบ รับกันกับกระจังหน้าเป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีความโค้งมนเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นแล้วแต่ก็ไม่ขัดตามากเท่า Tritonใหม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่มุมมอง เพราะเรื่องความสวยงามนั้นเป็นเรื่องเฉพาะมุมมอง คนหนึ่งมองว่าสวยอีกคนบอกไม่สวยก็ว่ากันไป ส่วนที่ทำให้ภายนอกดูดีอีกคือ ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้วลายสวยมีซุ้มล้อสีดำทำให้ดู “เต็ม”เป็นที่สุด แถมยังใจดีใส่ล้อขนาดนี้กับทุกรุ่นย่อยด้วย
ภายในห้องโดยสาร จะได้พบกับความสวยงามของความทันสมัยที่ไม่เคยเห็นมาก่อนใน Mitsubuishi รุ่นอื่นโดยเฉพาะจอDisplay ระบบสัมผัสขนาดใหญ่ที่คอนโซลกลาง 12.3 นิ้วเป็นแบบ Multi-Widget จอแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเพื่อแสดงข้อมูลต่าง ๆ พร้อมกันบนหน้าจอเดียว แสดงข้อมูล การใช้งานต่างๆของรถ เช่น ระดับความสูง มุมเอียง และทิศทาง ภาพจากกล้อง 360 องศา ระบบInfortainment รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และWebLink เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้
และยังมีจอแสดงผลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้วบอกสถานนะการขับขี่ทั้งมาตรวัด รอบเครื่องยนต์อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง การทำงานในระบบไฮบริด สถานะโหมดการขับเคลื่อนต่างๆ ทั้งหมดแสดงภาพชัดเจนคมชัด อัพเกรดหน้าจอมาทันสมัย มีระบบฟอกอากาศ nanoeTM X ลด PM2.5 มีไฟAmbient Light บริเวณคอนโซลหน้ําและแผงประตูด้านหน้า
อีกจุดเด่นที่มีเฉพาะในรุ่นท๊อปคือ ระบบเสียง Sound Yamaha Premium Sound System ที่ Yamaha ออกแบบมาให้โดยเฉพาะ เป็นระบบเสียงคุณภาพสูงที่กระจายเสียงผ่าน ลำโพงทั้งหมด 8 ตัว ทวิตเตอร์คู่หน้าที่บริเวณเสาA-Pillar ลำโพงวูฟเฟอร์ที่ติดตั้งบริเวณ แผงประตูคู่หน้า และลำโพงCoaxial แบบ 2 ทาง ที่ประตูคู่หลัง ให้มิติเสียงล้ำเลิศ และสามารถเลือกปรับโทนเสียงได้ตามต้องการอีกด้วย
มาถึงเรื่องของการขับเคลื่อนในความเป็น HEV นั้น Xforce ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC DOHC 16 วาล์ว เครื่องเดียวกับที่ใช้ใน Expander นั่นเอง แต่นำมาพัฒนาต่อยอดให้มีกำลังขับเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น จาก 95 แรงม้า เป็น 107 แรงม้า รองรับกับการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาดกำลัง 116 แรงม้า เมื่อทำงานร่วมกันจะมีกำลังสูงสุดที่ 120 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร ประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้นเป็น 24.4 กม./ลิตร
ไม่เพียงแต่การพัฒนาเครื่องยนต์ให้ทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าชุดใหม่นี้แล้ว ยังได้ set ช่วงล่างใหม่ทั้งหมดให้รองรับกันผ่านการทดสอบกว่า 100,000 กม.บนถนนในประเทศไทย ทำให้ได้ Xforce ฉบับพัฒนาและผลิตในไทยที่มีดีจริงๆ จากการได้สัมผัสในช่วงสั้นๆ ในสนานีทดสอบที่เน้นให้ทดลองใช้โหมดการขับขี่ทั้ง 5 โหมด จึงรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่มั่นใจ การควบคุมรถที่ง่ายขึ้นอย่างมาก แม่นยำ ทรงตัวดี เกาะหนึบทั้งๆที่เป็นระขับเคลื่อนสองล้อหน้าเท่านั้น
บอกได้เลยว่า Xforce สามารถเปลี่ยนความรู้สึกในการขับขี่รถ Mitsubishi ไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมากถึงมากที่สุดทีเดียว และที่สำคัญฟังค์ชั่นต่างๆที่มีมาให้นั้นก็อำนวยความสะดวกอำนวยความมั่นใจในการขับขี่ให้ได้ในระดับพรีเมี่ยม ดีที่สุดในชั่วโมงแล้ว!!!
ตามข้อมูลประชาสัมพันธ์ ระบุถึงระบบส่งกำลังว่าเป็นแบบ 2-SpeedTransaxle ในการขับเคลื่อนแบบฟูลไฮบริด ทั้งการขับขี่แบบ EV DRIVE การขับขี่แบบ HYBRID-SERIES การขับขี่แบบ HYBRID-PARALLEL การขับขี่แบบ HYBRID–MOTOR DISCONNECTED และกํารขับขี่แบบ POWER REGENERATIVE โดยระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่โดยอัตโนมัติตามสภาพกํารขับขี่และปริมาณพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงและการขับขี่ที่ทรงพลัง เร้าใจด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
• ขณะออกตัว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100%
• ขณะเร่งความเร็วหรือขับด้วยความเร็วปานกลาง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังในการขับเคลื่อน ซึ่งจะตัดสลับกับ EV DRIVE เมื่อพลังงานในแบตเตอรี่เพียงพอ
• ขณะขึ้นทางชัน หรือขึ้นเขา เมื่อต้องการพละกำลังในการขึ้นทางชันหรือขึ้นเขา ระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด LOW (เช่นเดียวกับเกียร์ต่ำ) เพื่อเพิ่มพละกำลัง และประสิทธิภาพการจัดการพลังงานในแบตเตอรี่ให้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดน้ำมัน
• ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือคงที่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด HIGH (เช่นเดียวกับเกียร์สูง) และเมื่อขับที่ความเร็วคงที่จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และตัดภาระการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออก เพื่อลดภาระในกํารทำงานของเครื่องยนต์ อีกทั้งเจเนอเรเตอร์ ยังช่วยในการขับเคลื่อน ทำให้ประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้า แบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES หรือ EV DRIVE ตามความเหมาะสม เพื่อ
เพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดพลังงาน
• ขณะลดความเร็วหรือลงทางชัน ระบบจะเปลี่ยนพลังงานจากการชะลอความเร็วหรือเบรก เป็นพลังงานไฟฟ้าและนำกระแสไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญ คือ โหมดกํารขับขี่ 7 รูปแบบ แบ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า 2 รูปแบบ และโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบสภาพถนน
โหมด EV Priority และโหมด Charge ช่วยให้ผู้ขับขี่เลือกขับขี่ในโหมด EV ตามสถานการณ์ได้
• EV Priority Mode ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์โดยไม่ต้องสตาร์ตเครื่องยนต์
โหมดนี้มีความเงียบสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนเมื่อต้องขับ
ขี่ในบริเวณที่ต้องการความเงียบ
• Charge Mode ใช้เครื่องยนต์ชาร์จแบตเตอรี่เมื่อพลังงานเหลือน้อยในขณะขับ หรือจอดรอได้เพื่อให้
สามารถใช้โหมด EV ได้นานขึ้นตามต้องการ
5 โหมดการขับขี่อื่นๆ ถูกออกแบบเพื่อควบคุมรถตามสภาพถนน ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
• Normal Mode: เหมาะกับกํารขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
• Tarmac Mode: สำหรับถนนลาดยาง เพิ่มความว่องไวและการควบคุมที่แม่นยำบนถนนคดเคี้ยว ให้
พละกำลังเช่นเดียวกับ Sport Mode
• Gravel Mode: สำหรับถนนลูกรัง ลดอาการลื่นไถลและเพิ่มความมั่นคงบนถนนลูกรัง
• Mud Mode: สำหรับถนนโคลน ให้การยึดเกําะที่ดีขึ้นแม้ในสภาพถนนที่เป็นโคลนและขรุขระ
• Wet Mode: สำหรับถนนเปียกลื่นลดการลื่นของยางและเพิ่มเสถียรภาพแม้ในสภาพฝนตกหนัก
เทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมต่างๆ ได้แก่
• Active Yaw Control (AYC):ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง ควบคุมแรงขับ และ
แรงเบรกของล้อหน้าแต่ละข้างเพื่อเพิ่มการทรงตัวและการควบคุมให้ปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
• Traction Control System (TCL):ระบบป้องกันการลื่นไถล ป้องกันล้อหมุนฟรี
• Active Stability Control (ASC):ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
• Electric Power Steering: พวงมาลัยไฟฟ้า ปรับน้ำหนักตามความเร็วและสภาพถนน
เทคโนโลยีความปลอดภัย Diamond Sense
– MAM with Moving Object Detection: กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ ทำงานผ่านกล้อง 4 ต่ำแหน่งแสดงภาพสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว
– LCDN: ระบบเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ระบบจะทำการแจ้งเตือนบนหน้าจอแสดงผลแบบ LCD กรณีรถหยุดนิ่ง และมีกํารเคลื่อนตัวของรถคันหน้า
– BSW with LCA:ระบบเตือนจุดอับสายตา และระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
– FCM: ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ป้องกันความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้า และสบายใจกว่าด้วยกํารลดความเร็วเพื่อบรรเทาความเสียหายจากการชน
– ACC:ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง ระบบจะสามารถล็อคความเร็วตามที่กำหนด และรักษาความเร็วให้คงที่ตํามรถคันหน้า ตลอดจนช่วยเบรกจนถึงความเร็ว 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มความสะดวกสบาย และปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อต้องขับขี่ทางไกล
– AHB: ระบบควบคุมไฟสูงโดยอัตโนมัติ สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น
– RCTA:ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ระบบจะส่งสัญญาณเตือน เมื่อพบว่ามีวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ ขณะกำลังถอยรถออกจากช่องจอด
ราคาจำหน่าย 3 รุ่นย่อย ได้แก่
• รุ่น Ignite ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) สีเงิน (Blade Silver) และ สีเทา (Graphite Grey)
• รุ่น Ultimate รําคําเริ่มต้น 1,039,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ สีเงิน (Blade Silver) สีเทา (Graphite Gray) และสีดำ (Jet Black Mica)
• รุ่น Ultimate X รําคําเริ่มต้น 1,089,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีาวมุก (White Diamond) หลังคาดำสีเทา(Graphite Gray) หลังคําดำ สีเหลือง (Energetic Yellow) หลังคาดำ สีแดง (Spirit Red) หลังคาดำและสีดำ (Jet Black Mica)