จากกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากการระเบิดของถุงลมนิรภัยขณะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งในประเทศไทย ซึ่งได้รับการยืนยันจากการชันสูตรว่าเกิดจากเศษโลหะของชิ้นส่วนถุงลมนิรภัยที่ตกมาตรฐาน ยี่ห้อทาคาตะ (Takata) นั้น สภาองค์กรผู้บริโภคเรียกร้องบริษัทรถยนต์ 8 ยี่ห้อ ให้ทำการเปลี่ยนถุงลมยี่ห้อนี้ที่ก่อให้เกิดการสูญเสียถึงชีวิต ให้กับผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้ ยังมีรถยนต์ในไทยที่ยังมีการใช้งานอยู่ กว่าหกแสนคันที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยอันตรายนี้
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค เรียกร้องให้บริษัทรถยนต์ทั้ง 8 บริษัท ได้แก่ ฮอนด้า บีเอ็มดับบลิว นิสสัน โตโยต้า มิตซูบิชิ มาสด้า เชฟโรเลต และฟอร์ด ที่ได้มีการขายรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยอันตรายยี่ห้อดังกล่าวในประเทศไทยมากว่าสิบปี เร่งดำเนินการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยให้มีความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
เหตุการณ์การเสียชีวิตจากถุงลมนิรภัยยี่ห้อ ทาคาตะ (Takata) นั้นเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก และได้มีการเรียกคืนรถจำนวนเกือบ 100 ล้านคันเพื่อเปลี่ยนถุงลมนิรภัยตั้งแต่ปี 2551 ส่วนในประเทศไทยนั้น มีการขายรถหลายยี่ห้อ หลายรุ่น กว่า 1.7 ล้านคันที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยดังกล่าว และได้มีการเรียกคืนเพื่อเปลี่ยนถุงลมไปแล้ว แต่ยังมีรถถึงหกแสนคันที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนถุงลม
“ขอแจ้งให้ผู้บริโภครับทราบถึงอันตราย และขอให้รีบดำเนินการตรวจสอบว่ารถของตัวเองเป็นรุ่นที่ต้องถูกเปลี่ยนถุงลมนิรภัยหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้จากหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์สภาองค์กรของผู้บริโภค www.tcc.or.th (หรือสแกนคิวอาร์โค้ดด้านล่าง) เว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก และเว็บไซต์ www.checkairbag.com” เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าว
ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธ์ หัวหน้าสาขาวิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาในประเทศไทยเคยมีกรณีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งจากการชันสูตรยืนยันได้ว่าเป็นการเสียชีวิตจากชิ้นส่วนที่กระเด็นออกมาจากถุงลมนิรภัย หนึ่งในการชันสูตรศพกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่เคยเกิดขึ้น ได้พบบาดแผลผู้เสียชีวิตฉีกขาดเป็นวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3.5 ซม. บริเวณกลางหน้าอกด้านบน ลึกไปจนถึงกระดูกสันหลังช่วงคอ และพบชิ้นส่วนโลหะฝังตัวในกระดูกสันหลัง โดยสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากชิ้นส่วนโลหะดังกล่าวที่ทะลุบริเวณคอและหน้าอกส่วนบน ทั้งนี้ชิ้นส่วนโลหะดังกล่าวมีลักษณะเข้าได้กับชิ้นส่วนของถุงลมนิรภัย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นยี่ห้อทาคาตะ
ชีพ น้อมเศียร ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมฯ ได้รับรายงานปัญหาถุงลมนิรภัยบกพร่องดังกล่าวตั้งแต่เริ่มมีข่าวการประกาศเรียกคืน (Recall) ในต่างประเทศ และจากการตรวจสอบพบรถที่มีถุงลมนิรภัยบกพร่องจำนวนทั้งสิ้น 1,725,816 คัน ในปี 2561 กรมฯ จึงร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ใช้รถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยที่บกพร่อง นำรถไปเปลี่ยนชุดถุงลมนิรภัยได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งหลังจากมีการติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถแก้ไขชุดถุงลมนิรภัยไปได้จำนวน 1,045,336 คัน คิดเป็นร้อยละ 60.6 แต่ยังคงเหลือรถอีกจำนวน 680,480 คัน ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนถุงลมนิรภัย
นอกจากนั้น ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรมยานยนต์ ระบุเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกำลังเตรียมดำเนินการในระยะที่ 2 คือ บูรณาการข้อมูลรถที่ยังไม่ได้แก้ไขชุดถุงลมนิรภัยเข้ากับฐานข้อมูลการชำระภาษีของกรมฯ เมื่อรถที่อยู่ในข่ายต้องเปลี่ยนชุดถุงลมนิรภัยทำการชำระภาษีผ่านช่องทางใดก็ตาม จะมีการแจ้งเตือนให้นำรถไปเปลี่ยนชุดถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัย โดยคาดว่า ระบบจะสามารถใช้งานได้ภายในปลายปี 2565 นี้ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ จะใช้สื่อช่องทางต่าง ๆ ของกรมฯ ในการประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของรถได้รับทราบข้อมูลโดยเร็ว ทั้งนี้ เจ้าของรถสามารถตรวจสอบข้อมูลผ่าน www.checkairbag.com หรือนำรถเข้าไปที่ศูนย์บริการทุกสาขา หรือติดต่อผ่านฝ่ายบริการลูกค้าทางโทรศัพท์ (Call Center) ของแต่ละบริษัทรถยนต์ หรือติดต่อสายด่วน 1584 เพื่อสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ระบุว่า การประกาศเรียกคืน ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2556 และในปี 2561 ได้ร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์รุ่นที่ถูกเรียกคืน สามารถเข้าไปรับบริการเปลี่ยนชิ้นส่วนถุงลมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าอะไหล่ และค่าแรงในการเปลี่ยนอะไหล่ แม้ว่าจะเป็นรถที่ไม่ได้เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการเป็นประจำก็สามารถเข้าไปเปลี่ยน นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบก เพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสารให้กับบริษัทรถยนต์สามารถติดต่อเพื่อแจ้งเตือนให้เจ้าของรถได้ทราบ
นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กล่าวอีกว่า การรณรงค์ให้ลูกค้าได้รับทราบ และตรวจสอบรถยนต์ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักคือมุ่งหวังส่งต่อความห่วงใยและความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อเป็นการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภคให้มีความปลอดภัย และนำไปสู่การยกระดับด้านการบริการให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศอย่างยั่งยืน จึงอยากขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนทุกภาคส่วน ช่วยสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงคนได้มากที่สุด
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคนำรถรุ่นที่มีปัญหาไปเปลี่ยนถุงลมนิรภัยแต่ถูกเรียกเก็บเงิน หรือไม่สามารถเปลี่ยนสินค้าได้ สามารถร้องเรียนได้ที่ ไลน์สภาองค์กรของผู้บริโภค tccthailand โทรศัพท์ 02 239 1839 อีเมล complaint@tcc.or.th อินบ๊อกซ์เฟซบุ๊ก สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือเว็บไซต์ www.tcc.or.th