Toyota Corolla Cross รถกระแสแรงอีกรุ่นที่แม้จะเปิดตัวในช่วงสถานการณ์วิกฤต โควิด 19 ก็ยังฉุดความแรงไว้ไม่อยู่ ครั้งนี้เราพาไปพิสูจน์สมรรถนะของทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กับ Hybrid ว่าแบบไหนขับสนุกกว่ากัน รวมถึงอีกประเด็นที่น่าสงสัยและเป็นที่พูดถึงด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร ติดตามคำตอบที่หลายคนรอคอยได้เลยครับ
ถือเป็นการสัมผัสบนถนนจริงครั้งแรกก็จัดหนักกับทั้งรุ่นท๊อพ Premium Hybrid Safety และ 1.8 Sport ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น แต่จริงๆแล้วในรุ่นท๊อพ ผมเคยได้สัมผัสระยะสั้นตอนช่วงเปิดตัวในพื้นที่ปิด (คลิกที่นี่เพื่อย้อนดูได้ตามลิงค์ครับ)
แต่การสัมผัสในครั้งนั้น ไม่ถือว่าได้รู้ซึ้งถึงอรรถรสของโปรดักส์ล่าสุดจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สักเท่าไหร่นัก การพิสูจน์สมรรถนะบนถนนจริงจึงรอคอยการสัมผัสหลังจากเปิดตัวไม่นานนัก สัมผัสแรกในครั้งนี้ผมจึงอยากนำเสนอให้กับผุ้ที่สนใจทั้งในรุ่นธรรมดา (1.8 Sport) และ Hybrid ซึ่งแน่นนอนว่าต้องมีความต่าง นอกจากรูปลักษณ์ภายนอก ในด้านสมรรถนะก็ต้องต่างกันอีกด้วย
เริ่มที่รุ่นท๊อพ Premium Hybrid Safety ทุกสิ่งอย่างเลือกสรรได้จากรุ่นนี้ ทั้งไฟหน้าแบบ Full Led พร้อมระบบ Auto Highbeam กระจังหน้าที่มีการฝังเรดาร์ของระบบช่วยเหลือ กล้องมองภาพแบบ 360 องศา รวมถึง หลังคาซันรูฟพร้อมราวหลังคา มากับความสะดวกสบายจาก Kick SenSor ที่ฝาประตูท้าย และล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว
สำหรับรุ่น 1.8 Sport กระจังหน้าสีดำไม่มีการฝังเรดาร์ ไฟหน้าให้แสงแบบฮาโลเจน ฝาท้ายไม่สามารถติดตั้งฟังค์ชั่น kick Sensor ส่วนล้ออัลลอยมากับฝาครอบขนาด 17 นิ้ว
ภายในของรุ่นท๊อพมากับการตกแต่งให้ดูหรูหรา จากหนังแท้ในรูปแบบของ Terra Rossa สีน้ำตาลแดง คอนโซลสีดำตัดขอบสีเงิน เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ส่วนผุ้โดยสารไม่มีไฟฟ้าเข้ามาช่วย และคอนโซลกลางเป็นสีดำเปียโนแบล๊ค มากับระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone เพิ่มเติมในส่วนของช่องระบายลมด้านหลังที่เท้าแขน
รุ่น 1.8 Sport ตกแต่งภายในสไตล์สปอร์ตด้วยหนังแท้สีดำ ส่วนเรื่องการปรับเบาะ ไม่มีระบบไฟฟ้าเข้ามาช่วยเหลือแต่อย่างใด ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ไม่มีการแยกคุมอุณหภูมิซ้าย/ขวา แต่ก็ยังมีช่องระบายลมด้านหลังที่เท้าแขนเช่นเดียวกัน
Toyota Corolla Cross 2020 ทั้ง 2 รุ่นติดตั้งพวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังค์ มีสวิทช์ควบคุมระบบความบันเทิงที่ด้านซ้ายและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ด้านขวา
รุ่นท๊อพ Hybrid Premium Safety มากับชุดมาตรวัด Multi Information Display ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งแสดงการทำงานของสถานะระบบขับเคลื่อน รวมถึงระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มทั้ง ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert with Steering Assist) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติพร้อมช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน (Dynamic Radar Cruise Control with Lane Tracing Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) และ ระบบเตือนแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring Monitor)
ส่วนรุ่น 1.8 Sport ถูกยกออกไปเกลี้ยง จะเหลือไว้เพียงแต่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และสำหรับจอแสดงผลก็ถูกลดขนาดให้เหลือเพียง 4.2 นิ้ว
จอทัชสกรินขนาด 9 นิ้ว บริเวณด้านบนคอนโซลจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถทั้ง 2 รุ่น ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อได้กับทั้ง Apple Carplay และ Android Auto รวมถึงแสดงการทำงานของระบบ T Connect และระบบโทรออกด้วยเสียง มากับลำโพง 6 ตำแหน่งรอบคัน
ในรุ่น 1.8 Sport จะมีการแสดงผลของกล้องมองหลัง ขณะที่ Hybrid Premium Safety นั้นมากับระบบกล้องมองภาพรอบคัน (Panaramic View Monitor) พร้อมมุมมองแบบสามมิติ
บริเวณคอนโซลเกียร์รุ่นท๊อพจะมีปุ่มควบคุมการทำงานของ EV Mode และสามารถปรับสไตล์การขับขี่ได้ทั้ง Eco Power และ Normal ส่วนรุ่น 1.8 Sport จะมีปุ่มควบคุมระบบป้องกันการลื่นไถล และที่คันเกียร์มีสวิตช์บวก/ลบ
ขุมพลังของ 1.8 Sport มากับเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR FBE ขนาดความจุ 1,798 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้าที่ 6,000 รอบ และแรงบิดสุงสุด 177 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT-I 7 จังหวะพร้อม Sequential Shift และ Shift Lock ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาไม่เกิน 11 วินาที และอัตราสิ้นเปลืองตามอีโค่สติ๊กเกอร์ อยู่ที่ 15.5 กม./ลิตร
สำหรับ Hybrid Premium Safety เป็นการพัฒนาสู่เจนเนอเรชั่น 4 ซึ่งทำงานระหว่างเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรรหัส 2 ZR-FXE ความจุ 1,798 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้าและแรงบิด 142 นิวตันเมตร ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแรงดัน 600 โวลท์ ให้พลัง 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร เมื่อรวมทั้ง 2 ระบบจะทำให้มีกำลังรวม 122 แรงม้า ระบบส่งกำลังเป็นแบบ E-CVT มีอัตราสิ้นเปลืองตามอีโค่สติ๊กเกอร์ อยู่ที่ 23.3 กม./ลิตร
ช่วงล่างเป็นแบบเดียวกัน ด้านหน้าแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลงโดยมีการปรับตำแหน่งของโช๊คอัพให้เยื้องไปด้านหน้าเพื่อรองรับการสั่นสะเทือนและให้ความนุ่มนวลที่ดีขึ้น
ระบบความปลอดภัยนอกจากเบรกABS กระจายแรงเบรกแบบ EBD และเสริมแรงเบรก BA ยังมีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และถุงลมนิรภัย 7 จุด ซึ่งคลอบคลุมถึงถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่าผู้ขับขี่ ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น
มาถึงรุปแบบการทดสอบ เริ่มจากรุ่นท๊อพ Hybrid Premium Safety ในด้านของการพัฒนาระบบไฮบริดนั้นทำมาได้ค่อนข้างดี EV โหมดหรือการใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเพื่อเป็นพลังงานในการขับเคลื่อน สามารถใช้ความเร็วได้ถึง 60 กม./ชม. ซึ่งต้องมีพลังงานสำรองในแบตเตอรี่ลิเธียม ที่เก็บไว้ด้านใต้เบาะนั่งของผู้โดยสารแถว 2
อัตราเร่งเป็นไปในรูปแบบของรถไฮบริด ไม่ค่อยหวือหวามากนัก แต่ก็สามารถทำความเร็วได้ในระดับหนึ่ง และการทำงานร่วมระหว่างเครื่องยนต์กับแบตเตอรี่ไฟฟ้านั้นสามารถทำความเร็วได้สูงถึง 120 กม./ชม.ช่วงล่างมีความนุ่มนวล และพวงมาลัยติดตั้งระบบแปรผันตามความเร็ว เมื่อใช้ความเร็วสูง น้ำหนักพวงมาลัยจะปรับหน่วงให้อัตโนมัติ
โครงสร้างตัวถังแบบใหม่ในชื่อ TNGA พัฒนาให้มีนน.เบา แต่ให้ความทนทานสูงจึงส่งผลซับแรงสั่นสะเทือน รวมถึงการติดตั้งวัสดุซับเสียงในหลายๆส่วน แต่ยังมีส่วนที่ให้ติติงนั่นคือเรื่องการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร เพราะเสียงที่เร็ดรอดเข้ามาตั้งแต่ความเร็วยังไม่ถึง 100 กม./ชม. ต้นเหตุมาจากยางขอบประตูและผนังห้องเครื่องยนต์ ยิ่งถ้าเปิดม่านซันรูฟออก เสียงที่เร็ดรอดเข้ามาก็จะดังขึ้นอย่างชัดเจน การทดสอบในครั้งนี้ได้มีการวัดเสียงภายในห้องโดยสาร โดยตัวเลขออกมาอยู่ที่ 80 เดซิเบลเลยทีเดียว
มาถึงคิวของ 1.8 Sport กันบ้าง ด้านสมรรถนะการขับขี่ถือว่าเป็นต่อเรื่องอัตาเร่งที่จัดจ้านกว่า ถึงแม้ว่ายังให้อารมณ์ของเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมๆ แต่ก็ตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างทันใจ และสนุกสนานกับการขับขี่ได้ด้วยระบบส่งกำลังที่เลือกบวก ลบ อัตราทดได้ที่ตำแหน่งคันเกียร์ อัตราสิ้นเปลืองอยู่ในเกณฑ์ 15.4 กม./ลิตรตามอีโค่สติ๊กเกอร์
ช่วงล่างถึงแม้ว่าเป็นแบบเดียวกันกับรุ่นท๊อพ แต่พอมาทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 140 แรงม้า ก็สามารถให้อารมณ์สปอร์ตได้ลงตัว ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1,800 รอบ ความเร็ว 120 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,200 รอบ เทียบเท่าความเร็วกับรอบเครื่องยนต์จะอยู่ในคลาสของรถอีโค่คาร์ และที่สำคัญ ประเด็นเรื่องเสียงรบกวนจากภายนอกที่เงียบกว่ารุ่นท๊อพอยู่ประมาณ 5 เดซิเบล
ชุดมาตรวัดที่เป็นแบบอนาลอคไม่ได้ถือว่าตกยุค เพราะออกแบบมาในสไตล์สปอร์ต แต่ส่วนของจอ Multi Information Display ถึงแม้ว่ามีขนาดเล็กลงเหลือเพียง 4 นิ้ว แต่ก็มีการแสดงผลที่ครบถ้วนทั้งอัตราสิ้นเปลือง เวลาที่ใช้งาน ระยะทางและน้ำมันคงเหลือ แต่ออฟชั่นอย่างระบบช่วยเหลือการขับขี่ถูกยกออกหมด
ความแตกต่างของรถทั้งสองรุ่นก็เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้ และการทดสอบก็พอสรุปว่า แม้มวยรองอย่างรุ่น 1.8 Sport จะมีออฟชั่นน้อยกว่า และไม่หวือหวาเท่ากับรุ่นท๊อพ Hybrid Premium Safety แต่ความสนุกสนานต่อการขับขี่นั้นทำได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งรวมไปถึงการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารก็เงียบกว่าชัดเจน
ราคาจำหน่ายในช่วงเปิดตัวจนถึงปลายเดือนกันยายนสำหรับรุ่น 1.8 Sport อยู่ที่ 959,000 บาท ซึ่งถ้าพ้นระยะเวลานี้ไปจะพุ่งขึ้นเป็น 989,000 บาท สำหรับผู้ที่มองหารถเอสยุวีครอสโอเวอร์คงไม่ต้องคิดหนัก ในขณะที่รุ่นท๊อพนั้นตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 1.2 ล้าน ทอน 1,000 บาท ถ้าหากเทียบเรื่องระบบช่วยเหลือที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงฝาท้ายแบบ kick Sensor และ ซันรูฟ กับผลต่างของราคาที่ 250,000 บาทก็น่าคิดไม่น้อย
อย่างไรก็ตามยังมีการใช้ขุมพลังไฮบริดในรุ่น Hybrid Smart และ Hybrid Premium ที่ราคาถูกกว่ารุ่นท๊อพ โดยมีการหั่นระบบช่วยเหลือและออฟชั่นออกไปตามแต่ละรุ่น สำหรับผม 1.8 Sport ก็เพียงพอต่อความต้องการแถมยังขับสนุกกว่าอีกครับ
ข้อมูลเทคนิค Toyota Corolla Cross Hybrid Premium Safety
เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
ความจุกระบอกสูบ (ซี.ซี.): 1,798
กำลังสูงสุด (แรงม้า ที่ รอบ/นาที): 98/5,200
แรงบิดสูงสุด(นิวตัน-เมตร ที่รอบ/นาที): 142/3,600
มอเตอร์ไฟ้ฟ้า (แรงม้า): 72
รวมกำลังขับ(แรงม้า): 122
ระบบส่งกำลัง: E-CVT
ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า
เบรก (หน้า/หลัง): ดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน
ระบบกันสะเทือน (หน้า/หลัง): อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท/ ทอร์ชั่นบาร์
ยาว/กว้าง/สูง (มม.): 4,460/ 1,825/ 1,620
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร): 36
ราคาจำหน่าย (บาท): 1,199,000
ข้อมูลเทคนิค Toyota Corolla Cross 1.8 Sport
เครื่องยนต์: เบนซินแบบ 4 สูบ
ความจุกระบอกสูบ(ซี.ซี.): 1,798
กำลังสูงสุด (แรงม้า ที่ รอบ/นาที): 140 /6,000
แรงบิดสูงสุด(นิวตัน-เมตร ที่รอบ/นาที): 177/4,000
ระบบส่งกำลัง: CVT-7 จังหวะ
ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า
เบรก (หน้า/หลัง): ดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน
ระบบกันสะเทือน (หน้า/หลัง): อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท/ ทอร์ชั่นบาร์
ยาว/กว้าง/สูง (มม.): 4,460/ 1,825/ 1,620
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร): 47
ราคาจำหน่าย (บาท): 959,000