การทดสอบสมรรถนะ All New Ford Everest ในครั้งนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งการริวิว รวมถึงทดลองขับทั้งทางเรียบและทางลุย ไปดูกันว่า นอกจากความใหม่ สด ที่มากับความทันสมัยทั้งด้านรูปลักษณ์ ความสะดวกสบาย พร้อมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ พัฒนาควบคู่ไปกับฟังต์ชั่นเพื่อความสะดวกสบาย สมรรถนะของขุมพลัง 2.0 เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะพร้อมปรับระบบรองรับใหม่ รวมถึงตัวช่วยการขับขี่ระบบ Terrain Management จะตอบโจทย์บนทางลุยได้มากน้อยเพียงใด เรื่องราวทั้งหมดพร้อมให้ติดตาม
All New Ford Everest เผยโฉมพร้อมจำหน่ายไปเมื่อมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดตัวกับนิยามประจำตัว “รับมือได้หมด ทุกบททดสอบ” การกลับมาในเจนเนอเรชั่นใหม่นี้ ตั้งค่าตัวรุ่นเริ่มไว้ที่ 1.34 -1.85 ล้านบาท ในรุ่นท๊อป ไทเทเนี่ยม พลัส 4×4 ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้นำมาทดสอบ
การปรับปรุงและพัฒนาเกิดขึ้นในหลายจุด เริ่มจากไฟหน้ารูปตัว C ในรูปแบบแมททริกแอลอีดีปรับแสงตามพวงมาลัยทั้งขณะขับและจอดพร้อมระบบป้องกันการแยงตาของรถที่สวนมา
ล้อลายใหม่ขนาด 20 นิ้ว พร้อมการปรับขยายฐานล้อเพิ่มขึ้น 50 มม. ด้านบนหลังคาเป็นแบบพาโนรามิค ซันรูฟขนาดใหญ่
ด้านท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมติดตั้งฝาท้ายอัตโนมัติแบบแฮนด์ฟรี รวมถึงเพิ่มเติม “จุดดักแอปเปิ้ล” เพื่อกันสัมภาระหล่นจากรถในกรณีเปิดฝาท้าย
ความสะดวกสบายจากเบาะนั่งทั้ง 7 และสามารถปรับพับราบเป็นแนวเดียวกับพื้นห้องโดยสาร ง่ายๆเพียงกดปุ่ม ออกแบบห้องโดยสารเพื่อลดเสียงรบกวนจากพื้นถนนและตัดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์
มาตรวัดแบบแอลอีดีอลังการขนาด 12.4 นิ้ว ซึ่งสามารถเลือกแสดงการใช้งานต่างๆตามความต้องการ มากับจอกลางขนาดใหญ่ขนาด 12 “นิ้วแบบไอแพด พร้อมฟังค์ชั่นใหม่นั่นคือการเชื่อมต่อผู้ขับขีให้เข้ากับตัวรถ และสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพลิเคชั่น Ford Pass ซึ่งทำได้ทั้งสตาร์ท เปิดแอร์ หรือต้นหาคำแหน่งของรถ ทั้งนี้ระบบความบันเทิงทำงานผ่าน SYN 4A ซึ่งเป็รระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ชาญฉลาด
มีกล้องรอบคัน 360 องศาแสดงการทำงานของกล้องทั้ง 4 ตัวรอบคัน ซึ่งภาพสามารถซูมได้อีกด้วย
ไวเลทชาร์จ ติดตั้งมาเสร็จสรรพและมีช่องชาร์จไฟ 8 จุดทั่วคัน ซึ่งมีทั้ง USB A C และจุดชาร์จไฟ 400 วัตต์
ความสะดวกและปลอดภัยจากระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 2.0 ช่วยให้ผู้ขับขี่จอดรถเทียบข้าง หรือถอยจอดเข้าซองได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มเดียว โดยระบบจะช่วยหมุนพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ รวมถึงควบคุมคันเร่งและเบรก ให้รถเข้าสู่ช่องจอดได้อย่างง่ายดาย
ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง ช่วยให้ผู้ขับขี่ถอยรถได้มั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยการตรวจจับวัตถุบริเวณท้ายรถ และส่งเสียงเตือน หากผู้ขับขี่ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ระบบจะส่งแรงเพื่อเบรกจนรถหยุดนิ่ง
ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด มอบพละกำลัง 210 PS ที่ 3,750 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 ในเวลาประมาณ 9 วินาที พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.7 กม./ลิตร
สำหรับระบบส่งกำลัง E-Shifter ซึ่งอัจฉริยะแม้ขณะจอด หากยังอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D ระบบจะเข้า P ให้เอง ซึ่งจะทำงานควบคู่ไปกับเบรคมือไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย มาพร้อมระบบขับ 4 แบบ Shift on the Fly โดยมากับโหมดการขับขี่ทั้ง
โหมดปกติ: ออกแบบเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทดสอบคู่กับระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go และระบบควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทางที่ช่วยตรวจสอบช่องทางจราจรเพื่อให้รถอยู่ตรงกลางเลน ช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย และจำกัดความเร็วได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะขณะขับขี่บนทางไฮเวย์ หรือเส้นทางที่ใช้ความเร็วสูงและมีรถพลุกพล่าน
โหมดประหยัด: ทำงานด้วยการประเมินพฤติกรรมการขับขี่ และปรับการทำงานของระบบส่งกำลังและระบบควบคุมความเร็วให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมันให้ได้สูงสุด
โหมดทางลื่น: ปรับการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบควบคุมการยึดเกาะถนน เพื่อลดโอกาสที่ล้อจะหมุนฟรี ป้องกันการลื่นไถล
โหมดโคลน: ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ผิวที่ปกคลุมด้วยโคลน กรวด หรือร่องดิน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ พร้อมตะลุยผ่านได้อย่างมั่นใจด้วยระบบดิฟล็อคหลังไฟฟ้าที่ทำงานแบบอัตโนมัติในโหมดนี้ พร้อมเพิ่มการยึดเกาะให้เต็มประสิทธิภาพและรักษากำลังของรถไว้ ควบคู่กับการปล่อยให้ล้อหมุนด้วยความเร็วเพื่อรีดโคลนออกจากดอกยาง ผู้เข้าร่วมการทดสอบยังได้ขับฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ เจเนอเรชันใหม่ลุยผ่านทางน้ำได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสามารถในการลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มม. และทัศนวิสัยที่เพิ่มขึ้นจากกล้องมองรอบคัน 360 องศา
ส่วนออฟโรดโหมดจะแสดงที่จอทัชสกรีน ซึ่งแสดงภาพได้รอบรถ รวมถึงการทำงานของระบบขับเคลือนและระบบส่งกำลังในกรณีใช้ระบบล๊อคเฟืองท้าย
ช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สัน หลังวัตต์ลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งระบบรองรับได้มีการพัฒนาในส่วนของโช๊คอัพแบบโมโน ทูปและสปริง ที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
กิจกรรมทดสอบขับรถภายใต้แนวคิด ‘Life is Yours to Master’ จัดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ทั้งบนทางเรียบและทางลุย ด้วยฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร ทำให้การยึดเกาะถนนนั้นดีกว่ารุ่นที่ผ่านมา การพัฒนาในส่วนของโช๊คอัพและสปริงที่ลงตัวยิ่งขึ้น ทำให้การควบคุมและการยึดเกาะถนนมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
เสียงในห้องโดยสาร ทางทีมผู้ออกแบบได้มีการพัฒนาในส่วนของรอยต่อตัวถัง รวมถึงผนังห้องเครื่องยนต์ ให้มีเสียงเร็ดรอดน้อยที่สุด รวมถึงติดตั้งเสียงสังเคราะห์ เพื่อให้ได้มาซึ่งห้องโดยสารที่เงียบ
ขุมพลัง 2.0 ลิตรเทอร์โบคู่ตัวแรง แม้ไม้ได้ปรับอะไรเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของเกียร์ E-Shifter ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ เพราะนอกจากจะให้ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนอัตราทด และตอบสนองพฤติกรรมการขับขี่ในรูปแบบก้าวกระโดด ยังให้ความปลอดภัยในกรณีที่รถหยุดนิ่ง เพราะระบบจะปรับตำแหน่งไปที่เกียร์ P อัตโนมัติ
ในเส้นทางลุย Terrain Management จะเป็นการตั้งโปรแกรมของสภาพเส้นทาง เพื่อให้เครื่องยนต์ และ ระบบขับเคลื่อน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางโคลน ทราย หญ้า หิน หิมะ และกรวด รวมถึงระบบล๊อคเฟืองท้าย ที่ช่วยฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้อย่างสบายๆ
เรื่องราวของ All New Ford Everest พอสรุปได้ว่านอกจากรูปลักษณ์ พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย สมรรถนะและระบบความปลอดภัยต้องเรียกว่าระดับไฮเอนด์ ยิ่งในช่วงทางลุย ผู้ขับขี่ใม่จำเป็นที่ต้องมีพื้นฐานสำหรับการใช้งานรถยนต์บนเส้นทางทุรกันดาร ระบบที่มีอยู่ในรถคันนี้ จัดการเองหมด หากต้องการรถที่พร้อมอบโจทย์ในนิยาม “รับมือได้หมด ทุกบททดสอบ” รถคันนี้คือคำตอบที่คุณต้องการแน่นอน