Mercedes-Benz C 300e AMG Sport ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดจากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 211 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตัน-เมตร ส่งผลให้มีกำลังรวมสูงสุดอยู่ที่ 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร เอาเป็นว่า เจอบนถนนอย่าริไปซิ่งด้วยก็แล้วกัน
Mercedes-Benz C 300e AMG Sport รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะแรง หนึ่งในรถยนต์กลุ่ม EQ Power เจนเนอเรชั่นที่ 3 ที่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวล่าสุด หลังจากเปลี่ยนแผนการผลิตจากนำเข้าทั้งคัน (CBU) มาเป็นรุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ซึ่งมีราคาต่างกันประมาณ 300,000 บาท จากเดิมรุ่นนำเข้าราคา 2.99 ล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 2.69 ล้านบาท นอกจากราคาที่มีความต่าง ก่อนเข้าสู่เรื่องราวของการทดสอบ มาดูกันก่อนว่ายังมีอะไรต่าง
รูปลักษณ์ภายนอกได้มีการปรับชุดไฟ LED ใหม่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่ยังคงไว้ซึ่ง Adaptive Highbeam Assist สามารถปรับองศาไฟสูงหลบหลีกรถคันอื่นได้อัตโนมัติ พร้อมระบบปรับองศาตามการเลี้ยวของพวงมาลัย Active Light System และไฟส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง Cornering Light
นอกจากนี้ยังมีชุดตกแต่งภายนอกแบบ AMG Body styling รวมถึง Night Package สีดำเงาที่ช่วยเติมสัมผัสของความสปอร์ตให้โดดเด่น ซึ่งมีการถอดชุดหลังคาพาโนรามิคออก แต่ยังคงไว้ซึ่งล้อ AMG น้ำหนักเบาขอบ 18 นิ้วลวดลายเดิม หุ้มยาง Michelin Pilot PRIVACY 3 ซึ่งเป็นแบบ Runflat ขนาด 225-45 R18
ภายในห้องโดยสารเปลี่ยนนิดหน่อย เดิมทีเป็นเบาะหนังสีแดง มาใหม่เป็นสีดำ มาตรวัดความเร็วยังคงแบบดิจิตอล (All-digital instrument display) ด้วยหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว สามารถปรับการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ คือ Classic, Sport และ Progressive
และอีกหนึ่งเรื่องที่มีการปรับเปลี่ยนนั่นคือโดยระบบความบันเทิงปรับเปลี่ยนจาก Bur Master เป็น MB Audio 20 สามารถใช้งานได้ทั้งบนหน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้วและบนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน พร้อมระบบ Apple CarPlay พร้อมปุ่ม Controller แบบหมุนและ Touchpad รวมถึง Mercedes Me และอีกหนึ่งไฮไลต์ของการปรับเปลี่ยนแสงในห้องโดยสารได้สูงสุดถึง 64 สี
หน้าจอชุดนี้ยังสามารถแสดงภาพจากกล้องมองภาพรอบทิศทาง พร้อมมุมมองแบบ Bird-eye view ที่ทำงานผ่านกล้องทั้ง 4 ตัว ทำงานคู่กับเซ็นเซอร์กะระยะรอบคัน PARKTRONIC สำหรับตัวช่วยอย่างระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist ก็ติดตั้งไว้ให้เสร็จสรรพ ระบบปรับอากาศมาพร้อมฟีเจอร์ Pre-entry climate control via key ช่วยเปิดระบบปรับอากาศให้อัตโนมัติก่อนขึ้นรถ
Mercedes-Benz C 300e AMG Sport ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า EQ Power เจเนอเรชันที่ 3 มาพร้อมขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-1,400 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ส่งผลให้มีกำลังรวมสูงสุดทั้งระบบอยู่ที่ 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบ 9G-TRONIC และการปรับปรุงใหม่ในครั้งนี้ ผู้ใช้งานสามารถขับขี่ด้วย E-Mode ได้ไกลกว่าเดิมถึง 30% ซึ่งหากติดตั้ง Wallbox ที่ช่วยร่นระยะเวลาชาร์จลงเหลือ 1 ชั่วโมง 50 นาที นับจากปริมาณแบตเตอรี่ 10% จนถึง 100%
ระบบช่วงล่างเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์ทั้ง 4 ล้อ ตัวช่วยการขับขี่มีระบบช่วยเบรก Active Brake Assist, ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Distance Pilot DISTRONIC, ระบบจำกัดความเร็ว SPEEDTRONIC และระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE System
ระบบความปลอดภัยมาตรฐานติดตั้งมาให้ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยหัวเข่าผู้ขับขี่, ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP, ระบบเบรก ABS, ระบบ ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist
เข้าสู่ช่วงทดสอบกันเลยดีกว่า ระยะทางที่ใช้ในการทดสอบนั้นเป็นการเดินทางไปที่เมืองกรุงเก่า จ. พระนครศรีอยุธยา หากไม่มองถึงวัตถุประสงค์ในการออกแบบให้รถคันนี้เป็นหนึ่งในกลุ่ม EQ Power ซึ่งเป็นไปในรูปแบบของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด จะถือว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะค่อนข้างจัดจ้าน
เครื่องยนต์หลักเป็นแบบเบนซินเทอร์โบขนาด 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-1,400 รอบต่อนาที ก็ถือว่ามีดีเกินตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อผสมโรงกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ทำให้มีกำลังรวมสูงสุดทั้งระบบอยู่ที่ 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร เรียกว่าหลังติดเบาะเอาได้ง่ายๆ
ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC ในช่วงเปลี่ยนเกียร์ทำได้นุ่มนวล และเพิ่มความสนุกด้วยแพดเดิลชิฟท์ขนาดกระชับมือบริเวณหลังพวงมาลัย สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.4 วินาที และความเร็วปลายอยู่ที่ 250 กม./ชม.
ระบบช่วงล่างแบบมัลติลิงค์ทั้ง 4 ล้อนั้นออกแบบมาให้ความนุ่มนวลเพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบาย ซึ่งหากปรับโหมดการขับขี่เป็นแบบ Sport+ น้ำหนักพวงมาลัยจะหน่วงกว่าโหมด Sport อยู่เล็กน้อย แต่การเรียกกำลังจากคันเร่งนั้นให้อารมณ์ที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับโหมด ComFort นั้นหากใครไม่ชินและต้องการการขับขี่ที่สะดวกสบายควรเลือกใช้โหมดนี้ เพราะอาการที่รถดึงขณะที่ถอนคันเร่งเพื่อชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่นั้นแทบสัมผัสไม่ได้ ในขณะเดียวกัน โหมด Eco นั้นมีอาการดึงมากกว่าอย่างชัดเจน หากมองอีกมุม โหมดนี้สามารถชะลอรถจนเกือบหยุดสนิทเนื่องจากแรงเฉื่อยของมอเตอร์ไฟฟ้า เพราะฉะนั้น จึงช่วยลดจำนวนการใช้เบรกได้อีกทาง แต่ถ้ามีผู้โดยสารไปด้วยอาจจะหัวทิ่มเล็กน้อยตามแรงเฉื่อยที่มาจากกลไกการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า
ส่วนการใช้งานโหมดEV นั้นควบคุมค่อนข้างง่าย แต่กติกามีอยู่ว่าต้องมีพลังงานอยู่ในแบตเตอรี่เท่านั้น จะด้วยวิธีชาร์จไฟหรือการรีชาร์จจากล้อกลับไปสู่แบตเตอรี่ก็ตาม ซึ่งถ้ามี Wallbox ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง นับจากปริมาณแบตเตอรี่ 10% จนถึง 100% และความเร็วที่สามารถใช้ในโมหด EV ทำได้ทะลุ 130 กม./ชม. เดิมทีการใช้งานในรูปแบบไฟฟ้า สามารถทำระยะทางได้เพียงประมาณ 50 กม. แต่การพัฒนาครั้งใหม่สามารถเพิ่มระยะทางได้อีก 30 %
เรื่องการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารนั้นทำออกมาค่อนข้างเนี๊ยบ เพราะเริ่มมีเสียงลมทเร็ดรอดมาก็ช่วงความเร็วทะลุ 120 กม./ชม. แต่ประตูรถค่อนข้างต้องออกแรงเยอะพอสมควรถึงจะปิดได้สนิท การใช้งานฟีเจอร์ต่างๆนั้นทำได้ง่าย เนื่องจากเป็นรถที่ประกอบในประเทศ จึงมีเมนูภาษาไทยมาให้เลือกใช้
อีกหนึ่งฟีเจอร์ของยุคสมัยนั่นคือ Mercedes me connect ที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างเจ้าของรถ และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถเลือกปรับเพิ่มบริการและฟังก์ชันต่างๆ ตามต้องการได้ผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน อาทิ
Vehicle status บอกสถานะความพร้อมของอะไหล่รถยนต์ และคอยประสานงานแจ้งเตือนทั้งทางลูกค้าและโชว์รูม
Remote Service เชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศทำความเย็นล่วงหน้า หรือการสั่งเปิด หรือล็อกประตูรถจากระยะไกล
Accident Recovery and break down management ปุ่มรูปโทรศัพท์ เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน รถเสีย หรือสอบถามข้อมูลทั่วไปผ่านคอลเซ็นเตอร์
บทสรุปของการทดลองขับในครั้งนี้อย่างที่กล่าวไว้ในช่วงเริ่มต้นนั่นคือ หากเจอ Mercedes-Benz C300e AMG Sport บนท้องถนน อย่าริไปซิ่งด้วยเพราะคุฯอาจจะได้เห็นแค่ฝุ่น เพราะพละกำลัง 320 แรงม้าพร้อมแรงบิดมหาศาลถึง 700 นิวตันเมตร ไม่ต่างไปจากสปอร์ตคาร์สักเท่าไหร่ การบังคับควบคุมทำได้ง่าย จากแต่ละสไตล์การใช้งานของระบบ Dynamic Select ขระที่ช่วงล่างไม่ถึงกับสไตล์สปอร์ตเพราะยังคงไว้ด้วยความนุ่มสบาย
สิ่งที่ปรับใหม่หากเทียบกับรุ่นนำเข้า(CBU) เริ่มจากโคมไฟหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมไฟ LED High Performance หลังคาพาโนรามิคถูกนำออกจากไลน์ผลิต และเปลี่ยนลำโพงจาก Burmaster เป็น MB Audio ซึ่งราคาตัวรถของ (CBU) อยู่ที่ 2.99 ล้านบาท แต่พอผลิตในประเทศ ราคาถูกปรับลดไป 300,000 บาท โดยประมาณ คงเหลือราคาจำหน่ายในรุ่นนี้อยู่ที่ 2.69 ล้านบาท สำหรับผุ้ที่กำลังมองรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด Mercedes-Benz C300e AMG Sport ก็น่าจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เพราะมีจุดแข็งนั่นคือราคาที่ถูกลงและออฟชั่นไม่หายไปเยอะ ส่วนเรื่องสมรรถนะการขับขี่ ก็อย่างที่บอก…อย่าริไปซิ่งกับเขาเลย