ว่ากันด้วยเรื่องราวของ “Honda City the Series” ที่นำมาทดสอบสมรรถนะในครั้งนี้ ทั้งรุ่น “Hatchback” ที่กำลังไล่ล่ายอดจำหน่ายอย่างร้อนแรง และ “e:HEV” ซึ่งจัดเต็มกับเทคโนโลยีด้านสมรรถนะและความปลอดภัย ความคุ้มค่าแบบไหนจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ ร่วมหาคำตอบไปด้วยกันครับ
เริ่มกันที่ Hatchback เป็นรุ่นที่ถือกำเนิดครั้งแรกในไทยซึ่งถือเป็นการเพิ่มไลน์อัพใหม่ในรูปแบบแฮทแบค 5 ประตู มากับมิติความยาว 4,349 มม. กว้าง 1,748 มม. และสูง 1,488 มม. ในขณะที่ระยะฐานล้อหน้า/หลังยาว 2,589 มม. และความสูงใต้ท้องรถ 135 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นซีดาน 4 ประตูจะสั้นกว่า 204 มม. สูงกว่า 21 มม. แต่สูงใต้ท้องรถเท่ากัน
การทดสอบสมรรถนะในครั้งนี้เป็นรุ่น RS ซึ่งถือเป็นรุ่นท๊อพ ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 749,000 บาท มากับดีไซน์ที่ได้นำเอาเอกลักษณ์ความสปอร์ตพรีเมียมแฮทช์แบ็ก รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ FULL LED พร้อมชุดหน้ากระจังสี Piano Black
มุมมองด้านหลังแบบรถท้ายลาด ซึ่งให้ความเอนกประสงค์มากกว่าเดิม ไฟท้ายใช้แบบ LED มีการติดตั้งเสาอากาศแบบครีบฉลาม ติดตั้งล้ออัลลอย 16 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารติดตั้งวัสดุซับเสียงในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นหลังคา แผงข้าง พื้น รวมถึงผนังห้องเครื่องยนต์ รวมถึงฉีดสเปย์โฟมในส่วนที่เชื่อมต่อกันระหว่างประตูกับห้องเครื่องยนต์เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ทั้งยังหรูหรา สวยงามในโทนสีดำ มาพร้อมเบาะหนังกลับ ตัดขอบด้วยผ้าสีแดง
คอนโซลหน้าแบบ Piano Black มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม มีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสไตล์สปอร์ต
จุดเด่นหลักของรถรุ่นนี้มาจากเบาะนั่ง อัลตรา ซีท (ULTR) แยกพับแบบ 60:40 ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด ได้แก่
•Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
•Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาวได้ขนาดความจุถึง 2.8 ม.
•Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
•Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด
ระบบเครื่องเสียงใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พร้อมแสดงภาพจากกล้องมองหลังได้ถึง 3 มุมมอง
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ รวมถึงติดตั้งระบบเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิลชิฟท์
อีกหนึ่งความสะดวกสบายเข้ากับยุคสมัยนั่นคือ Honda Connect ซึ่งประกอบไปด้วย
1.MY SERVICE สามารถตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
2.DRIVING BEHAVIOR บันทึกข้อมูลและพฤติกรรมการขับขี่ต่างๆ ที่สามารถให้แสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี
3.WIFI เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ ซึ่งต้องสมัครแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยเจ้าของรถจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
4.AIRBAG DEPLOYMENT เมื่อถุงลมทำงาน จะส่งสัญญาณแจ้งผู้ใช้งานผ่านทางแอปพลิเคชันทันที และส่งข้อความสั้นไปยังเบอร์ติดต่อฉุกเฉิน นอกจากนี้ระบบจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
5.SECURITY ALARM แจ้งสถานะเมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก
6.REMOTE VEHICLE CONTROL สามารถสั่งล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด ฝากระโปรงหน้าและฝากระโปรงท้าย รวมถึงสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ ทั้งยังสามารถสั่งเปิด/ปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย
7.GEO FENCE & SPEED ALERT กำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และตั้งค่าแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนด
8.FIND MY CAR ตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุดผ่านทางแอปพลิเคชัน
เครื่องยนต์เป็นแบบ 3 สูบ 12 วาล์ว VTec Turbo ส่งกำลังด้วยเทอร์ไบและเวสต์เกตไฟฟ้า พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์แบบน้ำ มีระบบหัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI ขนาดความจุ 988 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้าที่ 5,500 รอบ แรงบิด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,500 รอบ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT รองรับเชื้อเพลิงอี 20 ซึ่งให้ความประหยัดถึง 23.8 กม./ลิตร
ระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังทอร์ชั่นบีม ส่วนระบบเบรคเป็นหน้าดิส หลังดรัม มาพร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
ตัวช่วยด้านความปลอดภัยมีทั้งระบบเบรกเอบีเอส, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist และสัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน
ต่อด้วย Honda City e:HEV ถือเป็นการสื่อสารถึงเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ของ ฮอนด้า ทั้งรถจักรยานยนต์ รถยนต์ เครื่องยนต์อเนกประสงค์ และเทคโนโลยีในการจัดการพลังงานต่าง ๆ ภายใต้ ฮอนด้า อี:เทคโนโลยี (Honda e:TECHONOLOGY) สำหรับยนตรกรรมที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฮบริดจะได้รับการสื่อสารภายใต้ชื่อ อี:เอชอีวี
Honda City e:HEV ถือกำเนิดขึ้นจากพื้นฐานของ City ซีดานรุ่น RS โดยตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 839,000 บาท มีสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเป็นรถ Full Hybrid นั่นคือโลโก้สีฟ้าที่ด้านหน้า พร้อมสัญลักษณ์ e:HEV ที่บริเวณฝากระโปรงท้าย
ห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะนั่งเป็นแบบหนังกลับดีไซน์สปอร์ตตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง
มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้วที่แสดงระบบต่างๆของ Honda Sensing รวมถึงข้อมูลการใช้รถยนต์ต่างๆ โดยใช้สวิตช์ที่พวงมาลัยสั่งการ และยังมีระบบเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิล ชิฟท์ ให้อีกต่างหาก แต่แป้นเปลี่ยนเกียร์นี้ จะใช้เป็นตัวช่วยในการเร่งชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น
สำหรับเทคโนโลยี Honda Sensing ประกอบด้วย
•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
คอนโซลกลางมีระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Google Maps ทั้งยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
เทคโนโลยีชูโรงสำหรับ Honda City e:HEV มาจากการที่เป็นรถ Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ซิตี้คาร์ในประเทศไทย ที่มาระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 1 KWh มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
เมื่อรวมขุมพลังจะให้กำลังสูงสุดที่ 126 แรงม้า ที่ตอบสนองด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันตามอีโค่สติกเกอร์ถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม
ส่วนช่วงล่างเป็นระบบเดียวกันทุกรุ่น นั่นคือด้านหน้าแบบแมคเฟออร์สันสตรัท ด้านหลังทอร์ชั่นบีม และระบบเบรกหน้าเป็นแบบจาน ด้านหลังเป็นแบบดุม
นอกจากนี้เบรกมือเป็นแบบไฟฟ้า มาพร้อมกับ Auto Hold และ Honda Lane watch แต่ขาดหายไปในเรื่องของสวิตช์ EV
การทดสอบรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้เกิดขึ้นบนเส้นทาง กรุงเทพฯ-เขาใหญ่-กรุงเทพฯ ระยะทางไปกลับร่วม 400 กม. โดยขอเริ่มที่รุ่น Hatchback ก่อนเป็นอันดับแรก
ต้องบอกว่าถือเป็นตัวกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากเปิดตัวไม่ถึงเดือน โดยใช้พื้นที่ในงานมหกรรมยานยนต์เป็นสถานที่กวาดยอด ซึ่งทำให้ยอดขายของ Honda City นั้นทะลุ 6,000 คันเป็นที่เรียบร้อย
จะว่าไปแล้วฟีเจอร์ที่ติดมากับรถอาจน้อยไปสักนิด และสิ่งที่มีอยู่ก็ไม่ได้ถูกหยิบมาใส่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างระบบ Honda Lanewatch แต่ไฮไลท์ประจำรุ่นก็สามารถกลบจุดด้อยต่างๆไปได้อย่างไม่ลำบาก นั่นคือความใหญ่ โต เอนกประสงค์ของการพื้นที่ในห้องโดยสารที่เบาะสามารถปรับและพับได้ ทำให้การใช้งานของรถคันนี้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
ด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.0 ลิตร 122 แรงม้า พร้อมแรงบิด 173 นิวตันเมตร เรียกว่าแรงได้ตามสั่ง แต่ช่วงรอบต้นอาจจะมีอาการรอรอบเล็กน้อย ส่วนรอบกลางเป็นต้นไปถือว่าไหลลื่น และเพิ่มความสนุกในการขับขี่ด้วยแพดเดิล ชิฟท์ที่พวงมาลัย ซึ่งมีอัตราทดให้ถึง 7 จังหวะ จากระบบกียร์เดิมในรูปแบบซีวีที
ระบบช่วงล่างปรับเซ็ทมาในสไตล์สปอร์ต ไม่นุ่มจนย้วย และไม่แน่นจนกระด้าง แต่รถยนต์ในรูปแบบ 5 ประตู ที่มีนน.เบากว่า City Sedan เกือบ 10 กก. อาจจะทำให้รู้สึกถึงท้ายเบาตามสไตล์
ด้านการเก็บเสียงอาจเป็นจุดอ่อน เพราะมีต้นตอมาจากอุโมงค์ล้อหลัง ในเมื่อเบาะหลังพับได้ ผนังกั้นเสียงจึงหายไป และมีเสียงก้องเข้ามาภายใน โดยเฉพาะผุ้โดยสารตอนหลัง สำหรับตอนหน้า ตั้งแต่เสาบีขึ้นมาเรื่องเสียงถือว่ารับได้
ในการทดสอบครั้งนี้ เมื่อรถขับสนุก การใข้ความเร็วจึงไม่ได้บันยะบันยังแอย่างใด อัตราสิ้นเปลืองจากอีโค่สติ๊กเกอร์ที่ 23.7 กม./ลิตรจึงลดมาเหลือ 15 กม./ลิตรโดยประมาณ
ด้าน e:HEV จริงแล้วก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่สด เนื่องจากต้นทางมาจาก Honda Accord Hybrid แต่ได้ทำการลดขนาดเครื่องยนต์สันดาปจากขนาด 2.0 ลิตร เป็น 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าก็มีด้วยกันถึง 2 ชุด ในขณะที่แบตเตอรี่มีขนาดเล็กเพียง 1 KWh สิ่งทีได้มาเมื่อนำขุมพลังมารวมกันเป็น 126 แรงม้า แต่แรงบิดมหาศาลถึง 253 นิวตันเมตร อาการรอบรอบแบบรถที่ใช้ระบบอัดอากาศจึงหายไปโดยปริยาย
ด้านหลังพวงมาลัยมีแป้นแพดเดิลชิฟท์ แต่ไม่เกี่ยวกับอัตราทด ระบบนี้จะช่วยเพิ่มการหน่วงของล้อเพื่อช่วยให้เป็นตัวเร่งกำลังไฟที่ชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ มีให้เลือกหน่วงได้ 3 ระดับ และยิ่งหากใช้งานร่วมกับโหมด B จะยิ่งทำให้การชาร์จไฟจะทำได้ในเวลาที่เร็วขึ้น
ซึ่งจากการทดสอบ ระยะทางที่ใช้สำหรับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นทำได้ประมาณ 3 กม. แต่เวลาในการชาร์จไฟกลับไปยังแบตเดตอรี่นั้นไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากมีปัจจัยในหลายๆเรื่อง ที่สำคัญสุดนั่นคือพฤติกรรมการขับขี่
ระบบช่วงล่างแตกต่างไปจาก Hatchback โดยมีความนุ่มกว่าอย่างชัดเจน ตัวแปรมาจากนน.รถที่มากกว่าถึง 50 กก.
ในส่วนของผู้โดยสารหลังพิเศษตรงที่มีช่องแอร์อยู่ด้านหลังกล่องเก็บของ ซึ่งมาพร้อมกับช่องเสียบยูเอสบีถึง 2 ตำแหน่ง
สำหรับ Honda Sensing เมื่อทั้ง 5 ระบบทำงานร่วมกัน เทคโนโลยีนี้ถือเป็นการทำงานแบบกึ่ง Autonomous เลยก็ว่าได้ ในส่วนของ Adaptive Cruise Control เมื่อทำงานร่วมกับระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ รวมถึงระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง แม้ว่าเส้นทางจะโค้ง ระบบก็สามารถพารถไปได้กลางช่องทางอย่างปลอดภัย ในขณะที่รุ่นพี่ Honda Accord Hybrid นั้นนอกจากดึงกลับ ยังมีตัวช่วยเบรก ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีเดียวที่หายไป
ส่วนระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก จะใช้กล้องเป็นตัวประมวลผลและสั่งการให้เบรกอัตโนมัติเมื่อมีคนหรือวัตถุเข้ามาในวิถีทำการ แต่หากนำขาไปแตะที่คันเบรก ระบบจะยกเลิกอัตโนมัติ
สำหรับ Auto Highbeam น้ะนค่อนข้างใช้งานสะดวก หากปรับสวิตช์ไฟไปที่ตำแหน่ง Auto เมื่อถนนว่าง ไฟสูงจะทำงานอัตมัติ แต่เมื่อไหร่ที่มีรถขวางหน้า หรือมาจากเลนส์สวน ระบบก็จะตัดการทำงานมาที่ไฟต่ำทันที
หลังจากที่ได้ทำการทดลองขับระยะทางประมาณ 100 กม. จากสระบุรี กลับมายังกรุงเทพฯ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้คือ 26.4 กม./ลิตร ในความเร็วเฉลี่ยเกือบ 90 กม./ชม. จากที่คิดไว้ที่ 25 กม./ลิตร จนทำให้ได้รู้ว่าเทคโนโลยี e:HEV นั้นประหยัดจริงจัง
ด้าน Honda Conncet ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีของยุคสมัย เนื่องจากสามารถอัพเดทสถานะของรถ สั่งสตาร์ทเครื่องยนต์รวมถึงเปิดแอร์ มีการเตือนถึงการเข้ารับบริการในการซ่อมบำรุงแต่ละครั้ง และยังป้องกันการโจรกรรม โดยสารมารถทำได้ง่ายดายผ่านแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน แต่ก็น่าเสียดายที่รถมั้ง 2 รุ่นนั้นยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบ Android Auto จะทำได้เพียง Apple Carplay เท่านั้น
หากกล่าวโดยสรุป Honda City Hatchback โดดเด่นด้านความเอนกประสงค์จากการปรับและพับเบาะนั่งได้หลากหลาย เครื่องยนต์ตอบสนองการใช้งานได้ไว แต่ฟีเจอร์ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานน้อยไปนิด และเสียงที่ดังก้องในห้องโดยสารน่าเก็บให้เนี๊ยบกว่านี้อีกสักนิด
Honda City e:HEV ถือเป็นรถที่ให้ความประหยัดจริงจัง และเทคโนโลยี Honda Sensing ให้การขับขี่ทำได้อย่างปลอดภัย หรือจะเรียกง่ายๆว่าประหยัดสุด แถมราคาถูกสุดในกลุ่มของรถ Hybrid ที่มีจำหน่ายในบ้านเรา เพียงแต่หากมีโหมด EV ที่เลือกใช้งานได้ตามใจชอบในกรณีมีแบตเตอรี่นั้นหายไป รวมถึงข้อจำกัดของสมาร์ทโฟนระบบเอนดรอย์ ที่ไม่สามรถใช้ได้กับ Honda City The Series