เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยกับ All New Honda HR-V ภายใต้ชื่อรุ่น e:HEV ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ E EL และ RS ซึ่งรุ่นท๊อพ RS ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นสถานที่เปิดตัวครั้งแรกของโลก ซึ่งรายละเอียดต่างๆ Auto Motor Thailand เคยได้รีวิวให้รับชมก่อนที่จะขายจริง ครั้งนี้จะเป็นการทดสอบสมรรถนะทางไกลจากกรุงเทพ-หัวหิน จ.ประจวบคีรีขัน์ ระยะทางกว่า 220 กม. รายละเอียดต่างๆ จะเป็นเช่นไร มาเข้าเรื่องกันเลย ส่วนใครที่รอขุมพลังบล๊อคเดียวกับ Honda Civic ล้มโปรเจคไปก่อนครับ เพราะฮอนด้าย้ำชัด สำหรับ All New Honda HR-V ที่จำหน่ายในไทย จะไม่มีทางเลือกของขุมพลังบล๊อค 1.5 T บล็อกเดียวกับ Honda Civic แน่นอน
การปรับโฉมใหม่ของ All New Honda HRV เจนเนอเรชั่นที่ 2 มากับรูปลักษณ์ใหม่ในสไตล์หรูหรา และปราณีต สำหรับรุ่นท๊อพ RS ที่ได้ใช้เป็นพาหนะในการทดสอบครั้งนี้ จะแตกต่างกว่าอีก 2 รุ่น ชัดเจนตั้งแต่มุมมองด้านหน้าที่ดูสปอร์ต
กระจังหน้าในรุ่น e:HEV EL จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ และ ในรุ่น E จะใช้เป็นสีดำเงา ส่วนในรุ่น RS เป็นแบบโครเมียม และพิเศษด้วยสัญลักษณ์ AMP UP ที่ล่างกันชนหน้า
ไฟหน้าทุกรุ่นเป็นแบบ LED ในรุ่น RS จะพิเศษตรงที่ไฟเลี้ยวด้านหน้า เป็นแบบ LED Sequential ไฟท้ายแบบ LED Light Strip เชื่อมต่อกับไฟเบรกเป็นเส้นแนวยาว
อีกส่วนที่ต่างคือล้อ ในรุ่น E และ EL ล้อใช้ขนาด 17 นิ้ว แต่ RS เป็น 18 นิ้ว
มิติตัวรถนั้นปรับเพิ่มจากรุ่นเดิม ความยาวตัวถังเพิ่ม 4 ซม. กว้างและสูงขึ้น 2 ซม. โดยประมาณ
ฟังค์ชั่นฝาท้ายแบบแฮนด์ฟรี และเพิ่มฟีเจอร์ปิดฝาท้ายอัตโนมัติ เมื่อเดินห่างจากตัวรถ จะมีเฉพาะรุ่น EL และ RS เท่านั้น
ภายในกว้างขึ้น โดยพื้นที่ขาและเข่าแถว 2 เพิ่มถึง 35 มม. ทุกรุ่นมากับเบาะหนังดีไซน์ใหม่สีดำ รุ่น RS จะเย็บด้ายแดง ในส่วนของผู้ขับขี่ปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมออกแบบให้สูงกว่าเดิม เพื่อทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี มองได้ไกล ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสาร ไม่ได้ติดตั้งระบบไฟฟ้า เป็นการปรับพับมือ ธรรมดา
ไฮไลท์อยู่ที่เบาะนั่งด้านหลังแบบอเนกประสงค์แยกพับแบบ 60:40 ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ ได้แก่
Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ
Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
Tall Mode: พับเบาะด้านหลังขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
ส่วนหลังคาแก้วแบบพาโนรามิค ที่กำลังเป็นกระแส จะมีในรุ่น RS เท่านั้น
ปลายทางของการทดสอบอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาวจากกูเกิลแมพอยู่ที่กว่า 220 กิโลเมตร เริ่มเดินทางย่านมีนบุรี ท่ามกลางสภาพจราจรที่หลากรูปแบบ ในจุดนี้พบว่า ห้องโดยสารไม่ถึงขั้นเงียบ ทั้งที่มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาลดรอยต่อของโครงสร้าง รวมถึงฉีดสเปย์โฟมตามทั้งเสา A B และ C
ชุดมาตรวัดแสดงการทำงานผ่านจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ที่หยิบยกมาจาก City แสดงการทำงานของระบบต่างๆแบบเรียบง่าย แต่ก็ครบทุกฟีเจอร์
พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น เน้นการใช้งานปุ่มกดต่างๆเพื่อควบคุมระบบความบันเทิง รวมถึงการสั่งงานด้วยเสียง Siri และ ระบบ Honda Sensing
ซึ่งด้านหลังยังมีแป้นแพดเดิลชิฟท์ แต่ใช้ควบคุมการทำงานของระบบช่วยชะลอความเร็วรถ ซึ่งจะส่งพลังงานที่จะสะสมไปยังแบตเตอรี สามารถเลือกความหนืดได้ถึง 3 ระดับ ในการใช้งานนั้นสามารถสร้างแรงเฉื่อยที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน
ส่วนระบบ Honda Sensing มีด้วยกันอยู่ถึง 6 ฟีเจอร์ เริ่มจาก
ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
ทั้งหมด เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ใน Honda City การทำงานเหมือนกัน ถ้าเป็นของ Honda Civic จะทันสมัยกว่าตรงที่แสดงภาพของรถคันไหน้าได้ทั้ง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ไปยันรถบรรทุก
ชุดจอกลางขนาด 8 นิ้ว ระบบ Advance Touch ดูไม่กลมกลืนกับคอนโซลสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของดีไซน์ การใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto และยังแสดงภาพจากกล้องมองหลัง รวมถึงระบบ Honda Lane Wacth ที่จะนำภาพจากล้องบริเวณกระจกมองข้างมาแสดง แต่ความคมชัดยังไม่ค่อยคมสักเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน
ระบบแอร์ไม่พลาดที่จะติดตั้งช่องกระจายความเย็นให้กับผู้โดยสารแถวที่ 2 ซึ่งช่องปรับอากาศด้านหน้าทั้งฝั่งซ้ายและขวา จะมีการติดตั้ง Air Diffusion System ระบบที่ทำให้ความเย็นกระจายแบบหมุนวน
รุ่น RS จะมีที่ชาร์จสมาร์ทโฟนในรูปแบบ Wiress Charger ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ส่วนคันเกียร์ไม่มีบวก/ลบ มีปุ่มควบคุมการทำงานระบบ Drive Mode ซึ่งประกอบด้วย Eco Normal และ Sport รวมถึงเบรกมือไฟฟ้า Auto Hold ทั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ได้นำระบบ Hill Desent Control หรือระบบช่วยลงทางลาดชันมาติดตั้งให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
การทำงานของโหมดขับขี่แตกต่างกันชัดเจน ในขณะที่ใช้โหมด Sport หรือในกรณีเร่งแซง จากเกียร์อัตโนมัติ E CVT จะเปลี่ยนเป็นการใช้งานแบบเกียร์อัตมัติ ที่จับจังหวะการเปลี่ยนอัตรทดได้ถึง 3 ตำแหน่ง เพื่อให้การขับขี่สนุกและเร้าใจยิ่งขึ้น
สำหรับการทดลองระบบ eHEV Full Hybrid ซึ่งเป็นการทำงานร่วมระหว่างไฟฟ้า 2 ตัว เพื่อสร้างกระแสไฟ และ ขับเคลื่อนล้อ ให้กำลัง 131 แรงม้า พร้อมแรงบิด 253 นิวตันเมตร พร้อมเครื่อง 1.5 ลิตร DOHC iVTEC ให้กำลัง 105 แรงม้า 127 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ e-CVT อัตราสิ้นเปลือง 25.6 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขจากอีโค่สติ๊กเกอร์ แต่ในครั้งนี้ เราได้ทำการปรับเซ็ทระยะทาง เพื่อหาค่าเฉลี่ยสำหรับการใช้งานจริง ผลที่ได้จึงต้องไปลุ้นปลายทาง
ด้านอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ในเวลา 10.3 วินาที อัตราเร่ง 80-120 กม./ชม. ใช้เวลา 8.3 วินาที สะท้อนให้เห็นถึงพละกำลังที่ไม่ถึงขั้นปรู๊ดปร๊าด แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานในทุกย่านความเร็ว และความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ไปหยุดเอาเกือบ 170 กม./ชม.
ในย่านความเร็วสูง ระบบจะตัดการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออก จะเหลือเพียงขุมพลังจากเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อใช้รอบสูง เสียงเครื่องยนต์ที่ครางไม่ต่างไปจาก Honda City ก็เริ่มได้ยินชัดเจนขึ้น
แต่ก็น่าแปลกตรงที่เสียงจากภายนอกเร็ดรอดเข้ามาในตัวรถยังคงรักษาระดับเดิม ซึ่งฟังด้วยหู แทยไม่ต่างไปจากย่านความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.
การทดลองขับในครั้งนี้ขอชื่นชมกับระบบเบรก และ ระบบรองรับ ที่ได้ปรับมาให้มีเบรกที่เอาอยู่ กระจายแรงเบรกได้ดี และไม่หัวทิ่ม ส่วนช่วงล่างด้านหน้าในแบบแมคเฟอร์สัน และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ปรับเซ็ทมาดีเกินคาด ขับสนุก และมั่นใจได้กับการควบคุม การซับแรงสั่นสะเทือนของระบบรองรับไม่ถึงกับแข็งกระด้าง แต่ก็ไม่นุ่มนวลจนเกินไป
พวงมาลัยติดตั้งระบบแปรผันรูปแบบใหม่ ที่ทำงานแปรผันตามรอบความเร็วได้แม่นยำ และมีอัตราทดรอบอยู่เพียง 2.44 ในขณะที่รุ่น E และ EL จะอยู่ที่ 2.77
ส่วนเรื่องที่เป็นประเด็นถกเถียงว่า วัสดุที่ใช้ในการบังแดดดูไม่สมราคา แต่ทางผุ้ผลิตแจ้งมาว่ามีความทนทานสูง และผ่านการทดสอบเกือบ 2 ปี จึงไดด้มาซึ่งแผงบังแดดแบบที่ทุกท่านทราบ
จุดสำคัญอยู่ที่กระจกหลังคาพาโนรามิก ในเนื้อกระจกนั้นมีการผสมสารป้องกัน ได้ทั้ง UV A และ B แต่ด้วยความเป็นประเทศเมืองร้อน การติดฟิลม์กรองแสงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่เหมือนการติดฟิลม์ในกระจกพาโนรามิคนี้ อาจทำให้มีการเสื่อมคุณสมบัติของสารเคลือบต่างๆในเนื้อกระจกก็เป็นได้
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยมาจบที่ปลายทางคือ 17 กม./ลิตร กับการเค้นสมรรถนะในโหมด Sport เกือบ 80% ของเส้นทางทั้งหมด ซึ่งตัวเลขที่ได้กับรูปแบบการทดสอบ ก็ยังถือว่ารับได้ แต่หากไม่ใช้การขับขี่แบบเค้นสมรรถนะ เพื่อนสื่อที่ร่วมทริพ หลายๆท่าน ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้กว่า 20 กม./ลิตรเลยทีเดียว
มาถึงบทสรุปของการทดสอบในครั้ง สำหรับ All New Honda HRV e-HEV RS ในด้านรูปลักษณ์ ดูหรูและประณีต ห้องโดยสารกว้างขวาง ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาให้ครบครัน Honda Sensing อัพเดทมาให้ครบ ช่วงล่างและเบรค เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ปรับเซทมาได้ดี ขุมพลังไม่ถึงกับแรง แต่ก็ตอบโจทย์ในทุกย่านความเร็ว สิ่งที่ควรปรับนั่นคือการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร เสียงคำรามของเครื่องยนต์ รวมถึงชุดจอกลางที่ยังดูแล้วขัดใจ ราคาค่าตัว 1.179 ล้านบาท ในฐานะสาวกของฮอนด้า แน่อนนว่ายอมทุ่มใจ แต่ถ้าเติมออฟชั่นอย่าง เตือนการชนขณะถอยออก และเบาะไฟฟ้าคู่หน้า ก็น่าจะสมน้ำสมเนื้อยิ่งขึ้น
เพิ่มเติมให้อีกเล็กน้อย สำหรับผู้ที่รอคอย Honda HRV รูปแบบของขุมพลังเดียวกับ Honda Civic บอกตรงนี้ไว้เลยว่าไม่ต้องรอ ฮอนด้า ออโต้โมบิลส์ เน้นระบบ e-HEV เป็นขุมพลังหลัก และไม่มีนโยบายจะใช้กับครอสโอเวอร์รุ่นธงของค่ายแน่นอนครับ
คุณ มนวรา เพชรพลากร ผู้จัดการทั่วไป บ.ฮอนด้า ออโตโมบิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ” สำหรับใครที่รอขุมพลังบล๊อค 1.5T ใน Honda Civic ทาง ฮอนด้า ออโต้โมบิลส์ จำกัด ไม่มีโครงการจะนำมาใส่ใน All New Honda HRV แนนอน และโมเดลนี้จะทำตลาดในเมืองไทยแต่ระบบ e-HEV เท่านั้น