ทุกสัมผัสที่ได้รับจากการเดินทางบนแผ่นดินมองโกเลีย ด้วยรถกระบะ Mazda BT-50 ไม่ธรรมดาเลยในทุกเส้นทางที่ผ่านไป ทั้งหมดเป็นไปด้วยความแข็งแกร่งในการตะลุย สะดวกสบายในการใช้งาน และให้กำลังที่เพียงพอต่อทุกเส้นทางที่ต้องการไป ซึ่งสามารถควบคุมได้ตามที่กำหนด ไม่มีปัญหาหรือสร้างความกังวลใจแต่อย่างใด ทุกๆ อย่างดูเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย เมื่อกระบะ Mazda BT-50 มาถึงและจากไป
เรื่องราวจากกระบะ Mazda BT-50 บนเส้นทางกว่า 1,400 กิโลเมตร ที่ไม่ใช่ทางเรียบสีดำให้ได้วิ่งใช้งาน แต่เป็นทางกรวดทรายมีก้อนหินและเนินเล็กๆ กับร่องน้ำ สลับไปมาตลอดเส้นทางของการเดินทางครั้งนี้ มีเส้นทางสายสีดำราบเรียบให้ได้วิ่งบ้าง เพื่อคลายอารมณ์และสร้างกำลังให้ฮึกเหินกับเส้นทางที่รอข้างหน้า
คณะ Mazda BT-50 กรุ๊ปสองเดินทางถึงสนามบินเจงกิสข่าน ประเทศมองโกเลีย และเดินทางเที่ยวชมเมือง Ulaanbataar เมืองหลวงใหม่ของผืนแผ่นดินแห่งนี้ ทุกอย่างๆ เหมือนกับประเทศเกิดใหม่ มีวัฒนธรรมใหม่ๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาหารประเภทฟาสต์ฟู๊ดมีให้เห็นทุกๆ มุม ตึกรามบ้านช่องเป็นแบบสมัยใหม่ ผสมผสานกับตึกเก่าๆ ที่เรียงรายสลับกัน ตลอดสองเส้นทางที่เรานั่งรถผ่านไป เราใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงกว่าจะผ่านการตราจรที่หนาแน่น เหมือนกับอยู่บนถนนรัชดาภิเษก รถยนต์คับคั่งทั้งแบรนด์จากญี่ปุ่นและเกาหลี มีน้อยนิดสำหรับแบรนด์จากยุโรป รถมอเตอร์ไซค์แทบจะไม่เห็น ในที่สุดก็มาถึงจตุรัสซัคบาทาร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นของซัคบาทาร์ ผู้ประกาศอิสรภาพให้กับมองโกเลียในปี 1921 จากนั้นไปชมพิพิธภัณฑ์ของเมืองแห่งนี้ และเคารพกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของมองโกเลีย คือ เจงกิสข่าน อูเกไดข่าน และกุบไลข่าน ซึ่งเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ชัดเจน บริเวณจัตุรัสยังเป็นสถานีพักผ่อนของชาวมองโกลเลียอีกด้วย มีครอบครัวพาลูกหลานมาวิ่งเล่นและขี่จักรยานในบริเวณนี่เป็นจำนวนมาก
วันนี้จะเป็นการเดินทางตะลุยมองโกเลียกับ Mazda BT-50 อย่างแท้จริง เพราะเราจะเดินทางจากเมืองหลวงใหม่ Ulaanbataar เพื่อไปรำลึกถึงอดีตในเมืองหลวงเก่า Kharakhorum ด้วยระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร หนทางข้างหน้ามิอาจคาดเดาได้ว่าเป็นเช่นไร จะง่ายดายหรือยากลำบากแค่ไหน เราจะทำให้ได้เหมือนกับที่ท่านข่าน “เจงกิสข่าน” ได้ทำสำเร็จไว้เมื่อ 1,000 ปีก่อนหน้านี้
เราเคลื่อนพลออกจากเมืองหลวงใหม่ เพื่อย้อนอดีตไปเมืองเก่า Kharakhorum ที่ซึ่ง “เจงกิสข่าน”เคยใช้เป็นสถานที่พำนัก ตัวเลขระยะ 400 กิโลเมตรอาจธรรมดาเมื่ออยู่ในกรุงเทพฯ หรือใช้เวลาไม่นานในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง หากแต่บนเส้นทางของการเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นเส้นทางทุรกันดาร สลับทรายและก้อนหิน ต้องมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมง หรืออาจมากกว่านั้นแล้วแต่สภาพอากาศและสภาพถนนที่ต้องเดินทางไป นั่นเป็นคำบอกกล่าวจากไกด์ชาวมองโกเลีย
ขบวนรถกระบะ Mazda BT-50 จำนวน 11 คัน พร้อมแล้วสำหรับการพิชิตมองโกเลีย เราเคลื่อนพลด้วยรถกระบะ Mazda BT-50 แบบฟรีสไตล์แค็ปและดับเบิ้ลแค็ป ด้วยเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร 150 แรงม้ากับแรงบิด 375 นิวตัน-เมตร และระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเช่นกัน ทั้งหมดเป็นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อแบบยกสูง Hi-Racer เราพร้อมแล้วสำหรับการพิชิตมองโกเลียในครั้งนี้
รถกระบะ Mazda BT-50 ที่ผมใช้เป็นรุ่นฟรีสไตล์แค็ป Hi-Racer กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เราออกจากเมืองหลวงใหม่ในเวลา 8.30 น. เดินทางผ่านการจราจรที่หนานแน่นในตอนเช้าไม่ต่างจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเราจึงออกจากตัวเมืองมาได้กับระยะทางเพียง 10 กม. เท่านั้น ออกจากตัวเมืองแล้วภาพที่เห็นเบื้องหน้า เป็นเส้นทางของรอยล้อบนทุ่งหญ้าและขอบฟ้าสีฟ้าพร้อมปุยเมฆบางๆ ล่องลอยอย่างสบายใจบนท้องฟ้า เป็นความสวยงามที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยตัวอักษร และไม่สามารถมองหาได้ที่ไหน นอกจากเบื้องหน้าผมและเพื่อนร่วมขบวนเท่านั้น
ทำไมหรือครับ เพราะด้วยเส้นทางแบบนี้ไม่มีรถบัสให้คุณโดยสารเข้ามา นอกเหนือจากรถส่วนตัวที่ชำนาญทาง หรือคนบ้าอย่างขบวนรถกระบะ Mazda BT-50 เท่านั้น ไม่มีจุดหมายบอกเป้าหมาย ไม่มีป้ายบอกทางหรือทิศทางหรือระยะทางที่จะไป ไม่มีจุดสังเกตหรือจุดแลนด์มาร์กให้คุณได้ปักหมุดลงบนสมาร์ทโฟนของคุณ เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ให้ใช้งานสื่อสาร นอกจากสัญญาณ GPS และความเชี่ยวชาญชำนาญทางจากผู้นำทางท้องถิ่นเท่านั้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้คุณสนุกและระทึกไปพร้อมๆ กัน
“ท้องฟ้ากับทุ่งหญ้า” ภาพเหล่านี้ผ่านสายตาแบบไม่รู้จักจบสิ้น ผ่านมาแล้วก็ผ่านมาตลอดระยะทางที่เราเดินทาง ไม่มีรถสวนทางให้ต้องกังวล นอกจากความกลัวว่าจะหลงฝูงเท่านั้นเอง หากพลาดกับขบวนคาราวานครั้งนี้ เพราะหากคุณทิ้งช่วงห่างไปเพียงเล็กน้อย สันเหลี่ยมเนินหญ้าที่ทอดรออยู่ข้างหน้า จะเป็นเหมือนผ้าปิดตาสำหรับคุณ ทำให้คุณไม่สามารถเห็นเพื่อนร่วมทางของคุณได้เลย นอกเสียจากเสียงวิทยุที่คอยบอกทางและรายงานเส้นทางให้คุณทราบ มากกว่าการรายงานของ จส.100 เสียด้วยซ้ำ จึงเป็นที่มาของคำว่า ถ้าคุณหลุดหรือไม่เห็นขบวน ให้คุณจอดรถอยู่ตรงจุดนั้น ไม่ต้องตามหาขวนแต่ขบวนจะตามหาคุณเอง
เพราะด้วยเส้นทางที่ไม่รู้จบและไม่เห็นจุดหมายปลายทาง ทำให้ต้องพึงสัญญาณ GPS เป็นหลัก แต่กระนั้นก็มีการออกนอกเส้นทางบ้าง เนื่องจากการขาดหายของสัญญาณ อย่างไรก็ตามด้วยความชำนาญและประสบการณ์ของความเป็นคนมองโกเลีย คนพื้นที่ทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางได้เหมือนเดิม เรามีจุดแวะพักดื่มน้ำถ่ายของเบาของหนักตามอัธยาศัย โดยไม่มีร่มเงาไม้ใหญ่หรือพุ่มไม้คุณได้ปิดบัง ลมที่แรงยังเป็นปัญหาในการถ่ายของเบา อากาศที่หนาวเย็นระดับ 9 องศา ทำให้เราไม่อยากออกจากรถกระบะ Mazda BT-50 นานเท่าไร
เรามาถึงเมืองหลวงเก่าซึ่งเป็นครึ่งทางของการเดินทางครั้งนี้ ทานอาหารกลางวันแบบพื้นเมือง ด้วยซุปร้อนๆ และแกงมองโกเลียที่คล้ายกับแกงกระหรี่ มีข้าวแบบเม็ดเล็กๆ เหมือนข้าวญี่ปุ่น เสริฟ์พร้อมขนมปังกับเนยและชีส อาหารพอทานได้สำหรับคนที่ไม่ชอบรสจัด ที่ขาดไม่ได้เป็นน้ำร้อนเสริฟ์พร้อมชา ไม่มีน้ำเย็นกลั้วคอให้ชื่นใจ มีแต่เติมความอบอุ่นเข้าร่างกายให้มากที่สุด ในทุกสุดมื้อกลางวันแบบชาวมองโกเลียเสร็จสิ้น
เราออกเดินทางกันต่อเพราะยังเหลือระยะทางให้ได้ลุ้นอีกไม่ต่ำกว่า 200 กม. แม้จะรู้ว่าข้างหน้ามีรอยล้อกับขอบฟ้าและทุ่งหญ้าเหมือนเดิม แต่เราอยากรู้ว่าทำไมถึงจะไปถึงที่พักได้ แม้ว่าเราจะเชื่อใจในสมรรถนะของรถกระบะ Mazda BT-50 ด้วยกำลังของเครื่องยนต์และระบบเกียร์ที่ใช้งานง่าย ทำให้ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ซึ่งสามารถใช้ได้จนหมดถึงเกียร์ 6 แต่นั่นเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะต้องดึงลงเกียร์ 3 เพราะร่องน้ำและเนินหินเล็กๆ ที่ทำให้เราต้องเหยียบเบรกและเชนจ์เกียร์ลง ประสิทธิภาพเบรกไว้ใจได้ พวงมาลัยแม่นยำควบคุมได้อย่างคล่องมือ
ไม่ทันไรเราได้ใช้ศักยภาพของการควบคุมพวงมาลัยทันที เพราะรถนำขบวนเปลี่ยนเส้นทางแบบทันที จากเส้นทางที่มีรอยล้อกลายเป็นทุ่งหญ้าที่เราเห็นมาตลอด วิ่งมาได้สักระยะเราก็กลับสู่เส้นทางรอยล้ออีกครั้ง แม้เพียงช่วงสั้นๆ แต่แปลกใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าช่วงล่างของ BT-50 จะเอาอยู่ในทุกสถานการณ์ก็ตาม มีความแข็งและความนุ่มเล็กให้ได้สัมผัส ทำให้เราไม่สะเทือนบั้นท้ายมากเกินไป และไม่ทำให้เราเสียการควบคุมรถอีกด้วย และในที่สุดเราก็ผ่านขอบฟ้าและทุ่งหญ้ามาถึงที่พักแรมในคืนนี้ ซึ่งเรียกว่า Monkh Tenger Camp ไม่ใช่แคมป์แต่เป็นกระโจมทรงกลมขนาดใหญ่สีขาว เรียงรายอยู่เบื้องหน้าเราชาว BT-50 คืนนี้เราขอเป็นชาวมองโกเลีย
กระโจมที่เรียงรายอยู่ข้างหน้าประมาณ เกือบ 20 หลัง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเราเป็นอย่างมาก เพราะจะได้สัมผัสกลิ่นอายความเป็นมองโกเลียอย่างใกล้ชิด สักครั้งหนึ่งของชีวิตซึ่งไม่มีใครที่จะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ เหมือนเช่นที่เราได้ผ่านมาทั้งตลอดวันของการเดินทางในวันแรก
กระโจมที่เราใช้นอนพักเป็นรูปทรงกลม มีกรวยสูงอยู่ด้านบนพร้อมปล่องไฟ ตัวคุมกระโจมเป็นผ้าที่มีความหนาแต่มีความนุ่มผสมด้วย ดูแล้วไม่น่าจะทนความหนาวได้เลย ตัวกระโจมมีความสูงประมาณ 3-4 เมตร มีช่องเปิดรับอากาศภายนอกและปล่องไฟ ภายในกระโจมมีความกว้างประมาณ 5 เมตร พอสำหรับครอบครัวใหญ่ 5-6 คน แต่ที่นี่คือโรงแรมจึงมีเพียง 2 เตียงซ้ายขวา ซึ่งไม่ได้เป็นฟูกหนานุ่มแต่อย่างใด เป็นเพียงที่นอนธรรมดาและผ้าห่มพอดีตัว ไม่หนาไม่บาง โดยมีเตาเหล็กขนาดกลางตั้งอยู่ตรงกลางห้อง อันเป็นแหล่งพลังงานความร้อน เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับเราคืนนี้
กลางคืนที่นี่อากาศเย็นยะเยือกจริงๆ ประมาณ 1-3 องศา บวกกระแสลมและฝนตกอีกด้วย ยิ่งทำให้ทุกอย่างเย็นยะเบือกสะท้านกายจริง เสื้อผ้าที่เตรียมไปไม่พอกับอากาศเย็นแบบนี้ ไม่มีถุงมือไม่มีหมวกใส่ เราจึงใช้ชีวิตอยู่ในกระโจมรับแขกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ทานอาหารเย็นและสังสรรค์เล็กๆ เมื่อทุกอย่างลงตัวได้เวลาพักผ่อนกันเสียที พนักงานกระโจมเข้ามาติดไฟให้กับห้องกระโจมของเรา ไม้สนกระดาษดูจะเป็นอะไรที่เข้ากันดี ไม่ช้าทุกอย่างก็เรียบร้อย เตาไฟพร้อมกับควันไม้อบอวลเล็กๆ ในห้อง แต่นั่นไม่ได้สร้างความอบอุ่นให้เราทันที ต้องรอสักระยะประมาณ 10 นาที ความร้อนจากไม่สนกระจายความร้อนออกมานอกเตา ทำให้เรารับรู้ได้ถึงไอร้อนที่สัมผัสตัวเรา
เผลอหลับแบบไม่รู้ตัวจากความอ่อนล้าในการเดินทาง หรือการสังสรรค์ไม่อาจบอกได้ แต่ก็ต้องตื่นเมื่อร่างกายรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ปกคลุมในห้อง ซันรูฟบนหลังคาที่เปิดไว้ระบายอากาศ กลายเป็นหน้าต่างรองรับสายลมที่กระหน่ำเข้ามาอย่างเต็มๆ ระบบเปิด-ปิดหลังคาไม่ทำงาน และไม่สามารถแก้ไขได้ในชั่วโมงนี้ คืนนี้จึงต้องฟังเสียงลมและสัมผัสไอเย็นกันแบบเต็มๆ ดั่งเช่นที่ชาวมองโกเลียดำเนินชีวิตในอดีตและปัจจุบันนี้
วันที่สองของเดินทางเรามีจุดหมายปลายทางคือ เมือง Baga gazriin chuluu กับระยะทาง 350 กิโลเมตร ผู้นำทางบอกว่าวันนี้จะผ่านทุ่งหญ้าและวิวสวยงาม ทั้งหมดนี้เป็นกำลังใจให้เราอยากเดินทางไปเห็นด้วยตาของเรา และสัมผัสกลิ่นอายเหล่านั้นด้วยสรีระของเราเอง
ระยะทาง 350 กม. ไม่ใช่ปัญหาสำหรับกระบะ BT-50 แต่อย่างใด แม้จะกรำศึกมาตลอด 400 กม. เมื่อวานนี้ เสียงเครื่องยนต์ยังคงเดินเรียบและให้พลังเหมือนเดิม เมื่อยามที่เราห้อตะบึงในทุ่งกว้างที่ไม่มีที่สิ้นสุด ปีนไต่ทางลาดชันและเนินก้อนหินที่ผุดขึ้นเป็นหย่อมในเส้นทาง ช่วงล่างตอบรับการใช้งานได้ค่อนข้างดี มีการดูดซับแรงสะเทือนได้อย่างเหมาะสม ทำให้เราเดินทางไปถึงจุดชมวิวและจุดแวะพักได้อย่างรวดเร็ว แม้จะใช้เวลาเกือบ 2 ชม. กับระยะทางเกือบ 200 กม.ก็ตาม แต่เราก็สึกสนุกและท้าทายเป็นอย่างมาก
ทุ่งหญ้าเขียวพร้อมทะเลสาบเบื้องหน้า เป็นอะไรที่สวยงามบรรเจิดตาเป็นอย่างมาก ลองนึกภาพสนามหลวงรวมกันกว่า 100 สนามหลวง โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ด้านหน้า พร้อมกับท้องฟ้าขนาดใหญ่เป็นองค์ประกอบ ทั้งหมดนี้รวกันเป็นภาพความประทับใจบนทุ่งหญ้ามองโกเลียแห่งนี้ จากนั้นเราเดินทางต่อโดยมีจุดหมายปลายทางคือที่พัก ซึ่งเรียกว่า Erdene Ukhaa Camp ที่พักยังเป็นกระโจมเหมือนเดิม แต่มีขนาดเล็กกว่าเดิมและไม่มีเตาไฟให้ความอบอุ่นอีกด้วย เพียงแต่คืนนี้ทุกอย่างปิดสนิท ซันรูฟไม่มีการเปิดประตูปิดสนิท มีเพียงช่องระบายลมจากรอยต่อของพื้นกับตัวกระโจมเท่านั้น คืนนี้หลับกันอย่างสบาย
วันที่สามเราเดินทางไปในทุ่งหญ้าเช่นเดิม วันนี้เราเดินทางเบาะแค่ 400 กม. เท่านั้น เราพร้อมและ Mazda BT-50 ก็พร้อมเช่นกัน ยังคงเป็นเส้นทางเดิมๆ ของรอยล้อกับทุ่งหญ้าและเนินหิน วันนี้เราทำงานได้ค่อนข้างดี ถ้าไม่เจอบ่อทรายที่ซึมซับน้ำไว้เล็กน้อย จึงทำให้มีรถติดหล่มทรายกันเล็กๆ แต่นั่นก็ทำให้ได้รู้จักและสังเกตเส้นทางที่แปรเปลี่ยนไป ทุ่งหญ้าเริ่มเปลี่ยนสีดอกไม่กอเล็กเริ่มหายไป ใกล้ฤดูหนาวเข้ามาแล้วสินะ เพราะที่นี่จะเริ่มประมาณเดือนธันวาคม มีหิมะตกหนาสูงมากกว่า 1 ฟุต อุณหภูมิเบาๆ แค่ -40 องศา ไม่เท่าไรขนาดแค่ 3 องศายังหนาวเกือบตาย แล้วถ้าเป็น 40 องศาจะเป็นเช่นไร ไม่อยากคิด แต่คนที่นี่สามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างเป็นปกติ วันนี้เราพักที่กระโจมที่เรียกว่า Gobi Sunrise Camp
ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าพักเราได้เห็นทะเลทรายโกบี ซึ่งมองเห็นไกลๆ แต่มีขนาดใหญ่ จากที่พักเราหากจะไปที่ทะเลทรายโกบีมีระยะทางประมาณ 100 กม. เพียงเท่านี้ก็ถอดใจแล้วครับ ขอชมภาพความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทะเลทรายโกบี ด้วยสายตาที่มองเห็นก็แล้วกันครับ
เราออกเดินทางเหมือนเช่นเดิมเพื่อไปรับพลังงานจากธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า Energy Place เนื่องจากมีพระธุดงด์เดินทางและได้หยุดพักผ่อนสถานที่แห่งนี้ พอตื่นขึ้นมาเหมือนมีพลังงานในตัวมากมาย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถูกถ่ายทอดบอกกล่าวกันต่อๆ ไป ทำให้ทุกวันนี้สถานที่แห่งกลายเป็นสถานที่สำคัญของชาวมองโกเลีย และจะมีการเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกๆ ปีในช่วงเดือนกันยายน
พวกเราซึบซับขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่แห่งนี้พอสมควร และเดินทางไปนอนรับพลังงานบนหินสีแดง ที่ซึ่งชาวมองโกเลียเชื่อว่าเป็นแหล่งที่ถ่ายทองพลังงาน เมื่อเรานอนจะรับรู้ถึงความเย็นของหินที่ซึมผ่านร่างกายเข้ามา เหมือนได้นอนพักในห้องนอนที่แสนสบาย ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีทุกอย่างเป็นอันเสร็จสิ้น เราลองหยับหินสีแดงเพื่อเปรียบเทียบกันหินอันอื่นในที่เดียวกัน พบว่าหินสีแดงมีความเย็นในตัวแต่หินสีอื่นไม่มีอะไรเลย อยากให้ได้ลอง ซึ่งผมสบายตัวและมีพลังงานเต็มเปี่ยม เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังจุงดปลายทางชายแดนมองโกเลียวันนี้
เราใช้เวลาไม่นานเพราะวันนี้ใช้เส้นทางสีดำมากกว่า มีทางขรุขระเล็กน้อย ถนนยางมะนอยสีดำราบเรียบแบบไม่รอยต่อ ทำให้ใช้ความเร็วก้นได้พอสมควร จึงมาถึงชายแดนได้อย่างรวดเร็ว ประมาณ 2 ชม.นิดๆ กับระยะทาง 100 กม. วันสุดท้ายในมองโกเลีย ยังคงมีภาพความประทับใจในทุ่งหญ้าและท้องฟ้าเช่นเคย ภาพเหล่านี้ตรึงตราและถูกฝังในความทรงจำของเราอย่างมิรู้ลืม ตราบนานเท่านานในความเป็นซูม…ซูม