กลับมาได้สัมผัสอีกครั้งกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ รถพิคอัพที่เกิดมาแกร่ง ซึ่งในครั้งนี้ Autoworldthailand ได้นำรถไปทดลองสมรรถนะกันถึง 2 รุ่น ทั้ง เรนเจอร์ แรพเตอร์ และไวลด์แทรค โดยมีจุดหมายปลายทางไม่ห่างจากเมืองกรุง นั่นคือ จ.นครนายก ซึ่งรถทั้ง 2 คัน จะแยกย้ายกันไปทำภารกิจแอดเวนเจอร์และจะสนุกสุดมันส์ขนาดไหนนั้น ติดตามได้จากรายงาน
แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องราวของการลุย มาดูถึงรายละเอียดและความแตกต่างของฟอร์ด เรนเจอร์ ทั้ง 2 คันนี้ก่อน
ขนาดมิติตัวรถของ ฟอร์ด เรนแจอร์ ไวลด์แทรค มีขนาดความยาว 5,362 มม. กว้าง 2,163 มม. และสูง 1,815 มม. ส่วนของใต้ท้องรถนั้นสูงถึง 230 มม. แต่ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ จะมีมิติตัวรถใหญ่โตกว่าชัดเจน โดยยาวขึ้น 36 มม. กว้างขึ้น 168 มม. สูงขึ้น 58 มม. ฐานล้อเท่าเดิม แต่ความกว้างล้อหน้า/หลังเพิ่มขึ้น 150 มม. และใต้ท้องรถสูงขึ้น 53 มม.
รูปลักษณ์ภายนอกของรถทั้ง 2 รุ่นเริ่มจากกระจังหน้าในรุ่น ไวลด์แทรค มีการพ่นสีดำเงา ส่วนแรพเตอร์ จะมีคำว่า FORD เกือบเต็มพื้นที่ของหน้ากระจัง แบบเดียวกับพี่ใหญ่ในรุ่น F-150 สีโครเมียม โคมไฟทั้ง 2 รุ่นนี้ใช้เหมือนกันนั่นคือแบบ เอซไอดี พร้อมโปรเจคเตอร์เลนส์ รวมถึงมีไฟกลางวัน และที่มุมกันชนจะมีไฟตัดหมอกเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่
โป่งล้อทั้ง 4 ของเรนเจอร์ แรพเตอร์ แสดงให้เห็นสรีระที่ดูสมบุกสมบัน ผลิตจากคอมโพสิท แข็งแกร่ง ทนต่อการบุบและรอยขีดข่วน อีกทั้งถูกตีโป่งขยายรองรับระยะยุบตัวของโช้คอัพที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงติดตั้งบันไดข้างเพื่อการเข้าออกห้องโดยสารที่สะดวกและช่วยป้องกันการกระแทกจากใต้ท้องรถ
นอกจากนี้ยังมีสติกเกอร์ดีไซน์ดุดัน และยางที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจะใช้ยาง All-terrain จาก BF Goodrich ขนาด 285/70 R17 พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ ในขณะที่ ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรค จะใช้ยางแบบ Hi-terrain และเป็นขนาด 18 นิ้ว
ทั้ง แรพเตอร์ และไวลด์แทรค หุ้มเบาะนั่งด้วยหนังแท้ พร้อมปักฉลุชื่อรุ่นไว้เช่นเดียวกัน แต่แรพเตอร์ จะเย็บขอบด้วยด้ายสีน้ำเงิน ส่วนไวลด์แทรค เดินด้ายสีส้ม เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง บริเวณคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร การตกแต่งโดยรวมดูหรูหราและสปอร์ต
ในรุ่น แรพเตอร์ พวงมาลัยจะใช้วัตถุดิบในการผลิตที่ค่อนข้างนุ่มมือและมีแป้นแพดเดิลชิฟท์ขนาดใหญ่ที่ทำให้การเปลี่ยนระบบเกียร์ทำได้สะดวกมาก ขณะที่ ไวลด์แทรค ติดตั้งปุ่มเปลี่ยนเกียร์แบบบวก/ลบ ที่บริเวณหัวเกียร์ ซึ่งโดยรวมแล้วการตกแต่งค่อนข้างใกล้เคียงกัน
ฟีเจอร์หลักๆ มาครบทั้งคู่ เริ่มจากระบบมัลติฟังค์ชั่นที่พวงมาลัย สั่งการได้ทั้งเครื่องเสียง การรับและวางสายโทรศัพท์ รวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และชุดแดชบอร์ดซึ่งมีจอข้อมูล TFT แบบสีขนาด 4.2 นิ้ว 2 จอ ขนาบข้างมาตรวัดความเร็ว ระบบปรับอากาศแยกอิสระซ้าย-ขวาอัตโนมัติ
ด้านบนคอนโซลติดตั้งหน้าจอระบบสัมผัสแบบเดียวกับสมาร์ทโฟน ตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็ว และยังรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้ง Apple Car Play และ Android Auto ซึ่งมีฟังค์ชั่นการใช้งานระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) ภาคเสียงภาษาไทยที่ได้รับการอัพเกรดล่าสุด และหากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินจน ถุงลมนิรภัยทำงาน ระบบนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ ไปยังหมายเลข 1669 หรือ กู้ชีพนเรนธร เพื่อการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
แต่ฟีเจอร์เด็ดดวงของแร็พเตอร์ นั้นมาพร้อมกับระบบ Terrain Management System (TMS) ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 และ 4 ล้อ สำหรับโหมดการขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการใช้งานจากปุ่มบนพวงมาลัย ซึ่งมีทั้งหมด 6 รูปแบบดังนี้
โหมดการขับขี่ทางเรียบ ได้แก่ ปกติ (Normal) และสปอร์ต (Sport)
โหมดการขับขี่ออฟโรด ได้แก่ โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ (Glass Gravel Snow), โหมดโคลน/ทราย (Mud/Sand), โหมดหิน (Rock) และโหมดบาฮา (Baha)
ขุมกำลังของรถทั้ง 2 รุ่นนั้นมาจากพื้นฐานเครื่องยนต์เดียวกันซึ่งเป็นแบบ ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบ มาพร้อมระบบอัดอากาศแบบ Bi-turbo มีขนาดความจุ 1,996 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบ พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,000 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบส่งกำลังใหม่ในรูปแบบของเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ รวมถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์และติดตั้งดิฟเฟอเรนเชี่ยลล๊อคเพื่อการลุยที่ไร้อุปสรรค
ช่วงล่างด้านหน้าใช้เป็นแบบเดียวกันนั่นคืออิสระแมคเฟอร์สันสตรัท แต่ แรพเตอร์ ใช้ปีกนกที่ทำจากอะลูมิเนียม ด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ ติดตั้งแผงกันกระแทกด้านล่างอันเป็นเอกลักษณ์ ช่วยปกป้องห้องเครื่องจากการกระแทก ผลิตจากเหล็กกล้า (High-strength steel) ที่มีความหนา 2.3 มิลลิเมตร
ช่วงล่างด้านหลังของแรพเตอร์ จะเป็นแบบ วัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ และยังได้โช้คแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้าและหลัง ส่วนไวลด์เทรคจะเป็นแหนบ
สำหรับภารกิจที่ได้นำรถ 2 คันนี้เป็นพาหนะนั้นอยู่ที่ จ.นครนายก ซึ่งเป็นไปในรูปแบบของกิจกรรม แอดเวนเจอร์ จากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วโมงเศษก็จะถึงยังจุดหมายปลายทางที่ร้าน RATV ซึ่งอยู่ใกล้กับคลองมะเดื่อและน้ำตกวังตะไคร้
การใช้งานบนถนนหลวงของ ฟอร์ด เรนเจอร์ ทั้ง 2 รุ่นนั้นใช้งานได้อย่างสะดวกสบายด้วยขุมพลังที่ตอบโจทย์ในการเดินทางทางจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้าพร้อมแรงบิดมหาศาลถึง 500 นิวตันเมตร นอกจากพลังแรงะบบกียร์ 10 จังหวะยังทำงานได้อย่างราบรื่น จังหวะของการเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล
เรนเจอร์ แรพเตอร์ จะมีฟังค์ชั่น Terain Management System มาให้เลือกใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีฟีเจอร์ที่คอยตอบสนองในเส้นทางลุยแต่สำหรับการเพิ่มสมรรถนะการขับขี่นั้นจะมีโหมด Sport ซึ่งจะมีตอบสนองสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแรงได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ระบบช่วงล่างที่เป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัทและวัตต์ลิงค์ซึ่งทำงานในรูปแบบของช่วงล่างอิสระ เมื่อติดตั้งโช๊คอัพ FOX ทั้ง 4 ต้น ก็จะทำให้รถคันนี้มีช่วงล่างที่นุ่ม หนึบ และมั่นใจได้เมื่อขับขี่แบบใช้ความเร็วสูง
เมื่อมาถึงยังร้าน R ATV ทีมงานของเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคุณ ธนพล ลาที (พี่พึง) เจ้าของร้านซึ่งรับหน้าที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ที่จะพาเข้าร่วมกิจกรรมแอดเวนเจอร์ โดยแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 รูปแบบ ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรค จะใช้เป็นพาหนะในการลำเลียงแพยางซึ่งจะนำไปสู่กิจกรรมล่องแก่งบนสายน้ำของแม่น้ำนครนายก
เรื่องของการบรรทุกสัมภาระนั้นหมดห่วง เนื่องจากรถคันนี้ยังมีพื้นฐานช่วงล่างที่เป็นแบบแหนบซึ่ง เหมาะสมกับการบรรทุกน้ำหนักจากร้าน RATV ไปยังจุดเริ่มต้นของการล่องแก่งนั้นห่างกันเพียงไม่ถึง 10 กม. แพยางและเสื้อชูชีพถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ปล่อยแพยางบริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชลและเริ่มลุยไปกับกิจกรรมนี้อย่างสนุกสนาน
อีกภารกิจที่รอคอยการตอบโจทย์จาก ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ นั่นคือการสำรวจเส้นทางทุรกันดารซึ่งในอนาคตจะใช้เป็นเส้นทางการของการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการสนุกและผจญภัยไปกับ ATV และ UTV
การสำรวจเส้นทางในครั้งนี้จะใช้รถ UTV เป็นพาหนะในการนำทางซึ่งบางช่วงของเส้นทางค่อนข้างแคบ รวมถึงมีทั้งเนินชัน ลุยน้ำ และโคลน แน่นอนว่าการใช้งานของระบ Terrain Management System นั้นมีบทบาทสำคัญทันที
ระบบ Terrain Management System ที่ได้รับการติดตั้งในฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ นอกจากโหมด Sport ที่ใช้เพิ่มสมรรถนะอันร้อนแรงและโหมด Baja ซึ่งเป็นการขับขี่ในสไตล์ออฟโรดแบบความเร็วสูง ยังมีตัวช่วยให้เลือกถึง 4 รูปแบบการใช้งาน ทั้ง Normal-เพื่อการขับขี่บนพื้นผิวทั่วไป, Snow/ Grass/Gravel -สำหรับพื้นหิมะ โคลน และ หญ้าใช้งานกับระบบเกียร์ 4H, Sand/Mud เพื่อการขับขี่บนพื้นทรายใช้งานได้ทั้ง 4H และ 4L และ Rock-สำหรับการขับขี่บนพื้นหินขรุขระ ใช้งานกับเกียร์ 4L เท่านั้น
การเดินทางรูปแบบนี้ลุยหนักจริงและยังใช้งานตัวช่วยการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งทั้งหมดต้องยกยอดความอัจฉริยะกับตัวช่วยการขับขี่อย่างระบบ Terrain Management System รวมถึงช่วงล่างที่ทำงานอย่างหนักหน่วงและไร้ที่ติของ FOX ซึ่งช่วยให้การปีนป่ายทำได้อย่างสบายและไม่ต้องกลัวในเรื่องของการซับแรงสั่นสะเทือน
ภารกิจทั้ง 2 รูปแบบเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม ก่อนเดินทางกลับยังมีร้านอาหารวิวสวยๆและมีอาหารอร่อยโดยการแนะนำจากพี่พึงในชื่อร้านครัวข้าวโอ๊ต ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมสายน้ำของแม่น้ำนครนายก ใกล้กับน้ำตกวังตะไคร้ และเมนูแนะนำได้แก่ ไก่ย่าง ส้มตำ ปลาช่อนสมุนไพร ซึ่งนอกจากอาหารอร่อย บรรยากาศยังดีเลิศเพราะได้นั่งริมสายน้ำที่ร่มรื่นและเย็นสบาย
ทั้งหมดก็เป็นบทพิสูจน์ความแกร่งที่ได้นำ ฟอร์ด เรนเจอร์ ทั้งแรพเตอร์ และไวลด์แทรค โดยใช้ในการตอบโจทย์กิจกรรมทั้ง 2 รูปแบบ แถมยังได้รู้ถึงของดีแห่ง จ.นครนายก เพิ่มเติมที่ทำให้พอได้บทสรุปว่านอกจากระยะทางไม่ไกลกรุง กิจกรรมสนุกๆ และอาหารอร่อยๆ ก็ยังรอให้นักเดินทางได้ไปสัมผัสตลอดทั้งปี
ข้อมูลทางเทคนิค: Ford Ranger Wildtrak, Raptor
เครื่องยนต์: ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบ เทอร์โบคู่
ความจุกระบอกสูบ (ซี.ซี.): 1,996
กำลังสูงสุด (แรงม้า ที่ รอบ/นาที): 213/3,750
แรงบิดสูงสุด (นิวตัน-เมตร ที่รอบ/นาที): 500/1,750 – 2,000
ระบบส่งกำลัง: อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อม Manual Mode ที่คันเกียร์, แพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย
ระบบขับเคลื่อน: สี่ล้อพาร์ทไทม์
ระบบกันสะเทือน(หน้า/หลัง): แมคเฟอร์สันสตรัท/แหนบแผ่น, แมคเฟอร์สันสตรัท/วัตต์ลิงค์ คอยล์สปริง
เบรก(หน้า/หลัง): ดิสก์/ดุม,ดิสก์/ดิสก์
ยาว/กว้าง/สูง(มม.): 5,362×1, 860×1, 815, 5,398 x 2,038 x 1,873
ราคา (บาท): 1,265,000 ,1,699,000
ตัวแทนจำหน่าย: บริษัท ฟอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด