ถึงเวลาที่ BMW จะแต่งหน้าทาปากให้กับรถยนต์ที่ออกสู่ตลาด และในครั้งนี้เป็นคิวของ BMW X1 LCI รหัสลงท้ายที่แฟนๆค่ายใบพัดรู้กันดี และเราได้นำ BMW X1 Sdrive20d M sport ที่ถือเป็นรุ่นท๊อพ มาทำการรีวิวและทดสอบ แง้มไว้สักนิดว่าราคาไม่ได้ปรับ (2.599 ล้านบาท) และมีออฟชั่นเสริมมาพอสมควร ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ติดตามได้จากรายงาน
BMW X1 Sdrive20d M sport ยังคงขนาดมิติตัวรถเดิมด้วยความยาว 4,447 มิลลิเมตร กว้าง 1,821 มิลลิเมตรและสูง 1,598 มิลลิเมตร แต่มีการปรับปรุงเพิ่มเริ่มจากไฟหน้า กระจังและกันชนแบบใหม่
ไฟหน้าใช้เป็นแบบโปรเจคเตอร์เลนส์แอลอีดี เช่นเดียวกับไฟตัดหมอก มาพร้อมระบบเปิด/ปิด อัตโนมัติ ชุดกระจังรมดำและกันชนเป็นชุดแต่ง M Sport รวมถึงล้ออัลลอยที่เปลี่ยนขนาดจาก 18 เป็น 19 นิ้ว สไตล์ Double Sporke
ด้านท้ายก็ถูกปรับโฉมใหม่โดยกรอบไฟท้ายเป็นแบบแอลอีดี และกันชนที่เสริมความบึกบึน รวมถึงปลายท่อไอเสียที่มีทั้งฝั่งซ้ายและขวา ทั้งยังมากับฝาท้ายเปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และราวหลังคาทำสีดำเงา
ภายในแต่งเท่ด้วยเบาะคู่หน้าทรงสปอร์ต ปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ หุ้มหนังแท้ Dakota ส่วนเลาะหลังปรับและพับได้แบบ 40:20:40
พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังค์ชั่นและหุ้มหนังพร้อมสัญลักษณ์ M ด้านหลังยังมีแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิลชิฟท์
การออกแบบโดยรวมอาจจะปรับแต่งเพียงเล็กน้อยด้วยการอัพเกรด หน้าจอกลางเป็น 10.25 นิ้ว แต่ก็ถือเป็นไฮไลท์สำคัญ เพราะทำหน้าที่แสดงการทำงานของหลายระบบทั้ง ระบบแผนที่นำทาง Navigation System รุ่น Plus, ระบบ BMW ConnectedDrive, ระบบแสดงข้อมูลการจราจรแบบ Real-time,บริการติดต่อผู้ช่วยส่วนตัว Concierge Service,ระบบ Remote Service และระบบ Teleservice นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนในระบบ Appple Carplay ซึ่งควบคุมและสั่งการได้ทั้งระบบสัมผัสและปุ่ม I-Drive
ระบบปรับอากาศแยกการควบคุมอุณหภูมิแบบ Dual Zone ที่สามารถกระจายความเย็นไปได้ทั่วห้องโดยสารและบริเวณปุ่ม I-Drive ยังมีเบรกมือไฟฟ้า ปุ่มควบคุมโหมดการขับขี่ทั้ง Sport Normal และ Eco Pro
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ รหัส B47 BMW TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic Sport ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.9 วินาที และมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 19.2 กม./ลิตร
ช่วงล่างหน้าแบบอิสระ ด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ มาพร้อมดิสเบรกทั้ง 4 ล้อ นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งระบบช่วยเพื่อความปลอดภัยได้แก่
-ระบบควบคุมการขับขี่ขณะเข้าโค้ง Performance Control
-ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้าฝั่งคนขับ Head-up Display
-ระบบควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง Park Distance Control (PDC)
-ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
-ระบบกระจายแรงเบรก EBD
-ระบบเสริมแรงเบรก BA
-ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน DBC
-ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ DSC
-ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน DTC
-ระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Attentiveness Assistant
-ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
-ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
-ม่านถุงลมนิรภัย
-เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหน้า
-เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง
-กล้องมองภาพขณะถอยจอด
การทดสอบสมรรถนะในด้านความแรงยังถือว่าเป็นทีเด็ด ขุมพลังดีเซลขนาด 2.0 ลิตร รุ่นนี้ถือว่าล่ารางวัลมาพอสมควรจากโซนยุโรป เครื่องยนต์เป็นแบบเทอร์โบคู่ ให้แรงม้าสูงถึง 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร หากใช้งานร่วมกับโหมด Sport พอกระแทกคันเร่งเต็มแรง ทำเอาหลังติดเบาะได้ง่ายๆ
ระบบส่งกำลังแบบ Steptronoc 8 จังหวะ ปรับเปลี่ยนอัตราทดได้ราบลื่น และเพิ่มความสนุกในการขับขี่ด้วยแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย แต่นอกจากความแรง อัตราสิ้นเปลืองอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลิศ เพราะแตะใกล้ 20 กม. /ลิตร
โหมดการขับขี่มีความแตกต่างกันชัดเจน โดยเป็นการปรับเซ็ทจากโรงงานผู้ผลิต ซึ่งแต่ละโหมดนั้นเน้นไปที่การตอบสนองของเครื่องยนต์และน้ำหนักของพวงมาลัย โดยมีระบบปรับน้ำหนักตามความเร็วติดตั้งมาให้เป็นทุนเดิม สำหรับการใช้งานเครื่องยนต์จะปลดรอบเดินเบาให้เพิ่มขึ้นมาอีกโหมดละ 500 รอบ/นาที ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้งานโหมด Sport เสียงเครื่องยนต์จะคำรามให้ได้ยินชัดเจนขึ้น ในขณะที่ Eco Pro อาจจะตอบสนองช้าลง แต่ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งความประหยัด
ระบบช่วงล่างปรับเซทมาในสไตล์สปอร์ต เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจในทุกสภาวะการณ์ แต่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่อยู่ในรุ่นพี่ทั้ง X3 และ X5 ยังไม่ถูกยกมาใส่ ซึ่งรถคันนี้เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เมื่อเรียกใช้ความแรง กำลังที่ถูกถ่ายลงล้ออาจทำให้ด้านหน้ารู้สึกลอยๆ
อีกหนึ่งเรื่องที่เด็ดนั่นคือการรายงานสภาพจราจรแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ขับขี่รู้ถึงเส้นทางและความแออัดของจำนวนผู้ใช้รถได้อย่างทันท่วงที และการแสดงผลผ่านหน้าจอที่ปรับจาก 8 นิ้วในรุ่นเดิมมาเป็น 10.25 นิ้ว การแสดงภาพหรือกราฟฟิกต่างๆ ให้ความคมชัดสูง แต่ทั้งนี้ การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนก็ยังทำได้เพียงแค่ระบบ Apple Carplay เท่านั้น
บทสรุปของการทดสอบในครั้งนี้ สิ่งที่เพิ่มเข้ามานอกจากรูปลักษณ์ที่ทันสมัยพร้อมชุดแต่ง M ชุดไฟเปลี่ยนเป็นแอลอีดีทั้งหน้าและหลัง ฝาท้ายมีระบบเปิดอัตมัติโดยการใช้เท้า หรือเรียกง่ายๆว่าคิกส์เซนเซอร์ ภายในมีจอขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมเฮดอัพดิสเพลย์แต่ก็แสดงได้แค่ความเร็ว และตัวช่วยการขับขี่ยังน้อยไปนิด โดยเฉพาะระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ยังไม่ถูกติดตั้งมาให้ แต่ก็แก้เขินด้วยการมี Speed Limit แต่ความโดดเด่นมาจากเครื่องยนต์ที่ได้ทั้งขับสนุกและประหยัด
ราคาค่าตัว 2.559 ล้านบาท หากเทียบกับคู่แข่งตลอดกาลจากค่ายตราดาวในรุ่น GLA ที่ออฟชั่นล้น ซึ่งตั้งราคาไว้เพียง 2.399 ล้านบาท นอกจากได้รูปลักษณ์ที่ใหม่ สด ฟีเจอร์ที่ติดมากับรถยังถือว่าเป็นต่อ แต่อาจตกเป็นรองเพียงแค่ขุมพลัง เพราะ BMW X1 SDrive 20D ได้รับการติดตั้งขุมพลังที่ขับสนุกและรวดเร็วทันใจ แต่ก็ได้มาซึ่งอัตราบริโภคเชื้อเพลิงที่ให้ความประหยัดกว่า