Thursday, November 21, 2024
HomeAuto Test(มีคลิปวีดีโอ) ทดลองขับ MG HS PHEV ทางไกล พร้อมลุยทางฝุ่น...เข้าท่าอยู่นะ

(มีคลิปวีดีโอ) ทดลองขับ MG HS PHEV ทางไกล พร้อมลุยทางฝุ่น…เข้าท่าอยู่นะ

เป็นครั้งที่ 3 กับการที่ได้สัมผัสกับ MG HS PHEV แต่ในครั้งนี้จะเป็นการทดสอบที่ต่างไปจากเดิม คือการใช้งานระยะไกล รวมถึงได้นำไปลุยบนเส้นทางทุรกันดาน เพื่อให้รู้ว่าสมรรถนะของขุมพลังไฮบริดจากเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า พร้อมส่วนควบมาจากมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor พละกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่มาพร้อมแรงบิดเกือบ 500 นิวตันเมตร กับระบบรองรับแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ จะให้ผลการขับขี่ที่น่าประทับใจเช่นไร…รายงานพิเศษยินดีให้รับชมครับ

1.359 ล้านบาทเป็นราคาค่าตัวแบบสุดว๊าว ของ MG HS PHEV ซึ่งถือว่าถูกสุดในกลุ่มของรถอเนกประสงค์ที่มีขุมพลังในรูปแบบไฮบริด ซึ่งรายะละเอียดและฟีเจอร์ต่างๆจะมีอะไรบ้างนั้น สามารถรับชมได้จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=dGrgRJix9Tk และอีกครั้งที่พิสูจน์ขุมพลังไฮบริด โดบการใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน ก็สามารถรับชมได้จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=S1WG7HlYaAA แต่ในครั้งนี้ เราได้นำมาใช้งานจริงทั้งทางไกล และทางลุยเบาๆ

MG HS PHEV 1
รูปลักษณ์โดยรวมยังคงความเป็นสปอร์ตี้เอสยูวี ที่ไม่ต่างไปจาก MG HS สักเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่ไฟหน้าเน้นการใช้งานจากแอลอีดีโปรเจคเตอร์ ที่มีไฟเลี้ยววิ่งแบบรถยุโรปและเดย์ไทม์ในโคมเดียวกัน พร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ ในขณะที่ล้อแมกยังคงขนาด 18 นิ้วแต่มีลวดลายแตกต่าง รวมถึงสัญลักษณ์ PHEV บริเวณท้ายรถ

MG HS PHEV 2

MG HS PHEV 3

หลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่เกือบ 80% ของห้องโดยสารยังคงไว้ซึ่งสไตล์เฉพาะตัว เบาะนั่งยังใช้โครงเดิมในรูปแบบกึ่งบักเกทซีท แต่มาในสีใหม่นั่นคือขาวสลับน้ำเงิน แต่งหนัง Alcantara แบบเดียวกับรถหรูจากฝั่งยุโรป

MG HS PHEV 4

MG HS PHEV 6

บริเวณคอนโซลเกียร์มีปุ่มการทำงานของโหมด EV บริเวณคอนโซลเกียร์ ที่เหลือเหมือนรุ่นปกติแบบยกมาทั้งกระบิ ทั้งไฟ Amblient Light ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 เฉดสีและยังปรับตามโหมดการขับขี่ ทั้ง Eco Normal Sport และ Super Sport mode บริเวณมาตรวัดมีจอแสดงผลแบบ Full Visual Dashboard ขนาด 12 นิ้วที่แสดงผลของระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ซิสเต็ม และการทำงานของระบบ Advance Driver System ในรูปแบบของภาพกราฟฟิกสีสดใส

MG HS PHEV 8

พวงมาลัยเป็นแบบท้ายตัดติดตั้งระบบมัลติฟังค์ชั่นใช้สั่งการระบบต่างๆ และจะมีปุ่มควบคุมโหมด Super Sport สีแดงสดแยกออกมาอย่างโดดเด่น และมีก้านแพดเดิลชิฟท์ แต่ไม่ได้มีไว้สำหรับปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ โดยก้านนี้ใช้เป็นตัวเพิ่มแรงหน่วงหรือที่ผู้ผลิตเรียกว่า Kers ซึ่งสามารถปรับได้ถึง 3 ระดับ

MG HS PHEV 8

จอกลาง 10 นิ้วสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ทั้ง Android Auto และ Apple Carplay นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์กล้อง Around View Camera เลือกมุมมองของภาพได้รอบคัน และใช้ในการแสดงผลระบบบันเทิง ส่วนเทคโนโลยี i-Smart ทั้ง Smart Command หรือการสั่งงานด้วยเสียง Smart Check ตรวจสอบสถานะของรถผ่านสมาร์ทโฟน Smart Connect อัพเดทเรื่องราวของความบันเทิงทั้งเพลง ข่าว ร้านอาหารดัง และล่าสุดในด้านการรายงานสภาพอากาศ แต่ทั้งนี้ถ้ามาว่ากันด้วยเสียง ลำโพงเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ได้รับการปรับปรุงโดยใช้ลำโพงของ BOSE ที่มาพร้อมกับซับวูฟเฟอร์ในตัว

MG HS PHEV 8

MG HS PHEV 13

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบบล๊อคเดิม ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,700 – 4,300 รอบ/นาที ส่วนควบมาจากมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor พละกำลังสูงสุด 122 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร

MG HS PHEV 9

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังรวมสูงสุด 284 แรงม้า 480 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-ion จำนวน 6 โมดูล ขนาด 16.6 kW ถูกติดตั้งไว้ใต้พื้นห้องโดยสารพร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Coolant สามารถแยกซ่อมแต่ละโมดูลได้

MG HS PHEV 10

สำหรับเรื่องของการชาร์จไฟ สามารถนำปลั๊กที่มากับรถอัดประจุไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ในเวลา 5.5 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็น Wall Charge จะทำได้เร็วขึ้นในเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น หรือหากให้กำลังจากแรงหน่วง อัดประจุไฟกลับเข้าไปยังแบตเตอรี่

MG HS PHEV 11

ระบบเกียร์เป็นแบบ Twin Clutch Sportronic เดิมทีเป็น 7 จังหวะ แต่เมื่อรวมกับที่ต้องใช้งานส่วนของมอเตอร์ฟ้าจะขยับขึ้นเป็น 10 จังหวะ แบ่งเป็นใช้งานกับเครื่องยนต์ 6 จังหวะ และมอเตอร์ไฟฟ้า 4 จังหวะ โดยใช้ชุดคลัชในห้องเกียร์ตัดต่อการทำงานเพื่อให้นุ่มนวลและตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีที่สุด

ระบบช่วงล่างตามแบบฉบับของ Euro Tuning Suspension ซึ่งเป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าใช้เป็นแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง นอกจากนี้ระบบเบรกจะเป็นแบบดิสเบรกทั้ง 4 ล้อด้วยเช่นกัน

MG HS PHEV 12

ส่วนระบบความปลอดภัยที่อัดแน่นเต็มๆคัน ได้แก่
-ระบบป้องกันล้อล็อก ABS
-ระบบกระจายแรงเบรก EBD
-ระบบเสริมแรงเบรก EBA
-ระบบควบคุมการทรงตัว SCS
-ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC
-ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS
-ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS
-ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS
-ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC
-ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR
-ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้พลิกคว่ำ ARP
-ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS
-ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS
-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC : Adaptive Cruise Control
-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA
-ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโมัติ IHC
-ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อมระบบ Auto Vehicle Hold
-ระบบช่วยเตือนเมื่อรถเสี่ยงต่อการชนคันหน้าขณะขับขี่ FCW
-ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA
-ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW
-ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP
-ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA
-ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD
-ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง RCTA
-ระบบช่วยเตือนการปิดประตู DOW
-ระบบล็อคประตูอัตโนมัติ Speed Sensing Door Lock
-ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย)
-กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา
-เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง 4 ตำแหน่ง

MG HS PHEV 14

ข้อมูลต่างๆเป็นเพียงรายละเอียดของตัวรถ ในครั้งนี้เราได้ใช้ระยะทางกว่า 100 กม.เพื่อพิสูจน์สมรรถนะ จะว่าไปแล้ว งานประกอบและวัสดุที่นำมาใช้กับรถคันนี้ ถือว่า MG การเก็บเสียงในห้องโดยสารค่อนข้างเงียบแม้ใช้ความเร็วสูง อีกเรื่องที่ช่วยกลบเสียงรบกวนได้อย่างมีคุณภาพนั่นคือชุดลำโพงของ Bose แต่ติดนิดหน่อยตรงที่การสะสมความร้อนของห้องโดยสาร เนื่องจากหลังคาแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ แต่หลายท่านมองข้ามจุดนี้เนื่องจากถือเป็นจุดเด่นของรถ ในขณะที่ค่ายคู่แข่ง ไม่ได้จำหน่ายรถยนต์ที่มีการติดตั้งหลังคารูปแบบนี้

MG HS PHEV 15

ระบบความปลอดภัยต่างๆในส่วนของ ADAS และ i-Smart ถูกปิดการทำงานไว้ทั้งหมด และโฟกัสไปที่การขับขี่โหมดต่างๆ ซึ่งแต่ละโหมด มีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง รวมถึงไฟหน้าจอที่ปรับตาม แต่ทั้งนี้การปรับแต่ละรูปแบบนั้นจะเลือกควบคุมไปที่ขุมพลังซึ่งถูกปรับไว้ตามโปรแกรม และ นน.พวงมาลัย แต่ทั้งนี้ การควบคุมทิศทางของรถนั้น ทำได้แม่นยำ พวงมาลัยมีช่วงฟรีน้อย

MG HS PHEV 16

ขุมพลังออกตัวไว้เลยว่าดีมาก แม้ว่าเครื่องยนต์หลักจะมีขนาดเพียง 1.5 ลิตรเทอร์โบ แต่ในส่วนของกำลังสูงสุด 162 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,700 – 4,300 รอบ/นาที ส่วนควบมาจากมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor พละกำลังสูงสุด 122 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร ในส่วนของเกียร์ E-CVT ทำงานได้ราบเรียบดี แบ่งการทำงานในส่วนของเครื่องยนต์ และเกียร์ แยกส่วนไว้อย่างชัดเจน

MG HS PHEV 17

สำหรับ Kers Mode รถรุ่นนี้ไม่มีสวิตช์การทำงานของระบบแยกออกมาเป็นสัดส่วน แต่สามารถใช้แป้นแพดเดิลชิฟท์ด้านหลังพวงมาลัยปรับระดับการหน่วงได้ถึง 3 ระดับ และจะทำงานร่วมกับโหมด Eco และ Normal ส่วน Sport และ Super Sport นั้นไม่สามารถทำงานร่วมกันได้

ระบบช่วงล่างแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ ดีไซน์ให้ขับสบาย ด้านหน้าเป็นอิสระปีกนก ด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ ออกแบบมาค่อนข้างนุ่ม แต่ให้การยึดเกาะที่ดี ล้อขนาด 18 นิ้ว อาจดูเล็กไปนิดเมื่อเทียบกับซุ้มล้อขนาดใหญ่ แต่ก็ให้การยึดเกาะได้ดี แถมระบบเบรกเป็นแบบดิสทั้ง 4 ล้อ

MG HS PHEV 16

เข้าสุ่ทางทุรกันดารระบบช่วงล่างช่วยซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แม้ว่าจะเป้นระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหน้า แต่แรงบิดเกือบ 500 นิวตันเมตร ช่วยให้ปีนป่านทางชันได้สบายขึ้น แถมยังมีระบบช่วยลงทางลาดชันด้วยการควบคุมความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม.ช่วยให้ป้องการการลื่นไหลลงจากเนิน แถมยังสามารถควบคุมทิศทางของรถได้อีกด้วย

MG HS PHEV 17

บทสรุปการทดสอบในครั้งนี้ต้องบอกว่าผ่านฉลุย รูปลักษณ์ และระบบความปลอดภัย หลายท่านที่สนใจรถรุ่นนี้คงทราบดีไปแล้ว แต่ในส่วนของสมรรถนะ งานประกอบ และการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารนั้นหายห่วง หากเชื้อเพลิงไม่พอ ก็สามารถหาปลั๊กชาร์จไฟเพื่อขับเคลื่อนระบบ EV ได้ระยะทางถึงเกือบ 70 กม. เพียงแต่ต้องเป็นปลั๊กหลักของบ้าน และห้ามต่อไฟจากปลีกพ่วงเป็นอันขาด แต่ก็มีสิ่งที่ไม่ชอบเป็นทุนเดิม นั่นคือ หลังคาพาโนรามิค ที่เป็นตัวการทำให้เกิดความร้อนสะสม แต่หากมองถึงความเท่ ก็น่าจะเอามาชดเชยในสิ่งที่ไม่ชอบอกไปได้

MG HS PHEV 18

RELATED ARTICLES

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Most Popular