มีหลายคนรอคอย New Honda City Hatchback e:HEV และในวันนี้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย จำกัด ก็ได้เวลาเปิดตัวในราคา 849,000 บาท (แพงกว่ารุ่นซีดานเพียง 10,000 บาท) ซึ่งความโดดเด่นก็มีไม่ใช่น้อย ทั้ง ความประหยัดจากสมรรถนะระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD เทคโนโลยี Honda Sensing และ Honda Connect และทีเด็ดกับการพับเบาะนั่งได้ถึง 7 รูปแบบ เรื่องราวทั้งหมดของรถรุ่นนี้จะมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด ติดตามได้จากรีวิวพร้อมการทดลองขับ Auto Motor Thailand จัดให้ครับ
Honda City Hatchback e:HEV เป็นการเพิ่มไลน์อัพใหม่ของ Honda City หลังจากที่เริ่มทำตลาดในบอดี้ซีดาน ทางด้านมิติตัวรถก็ไม่มีอะไรผิดแปลก มีความยาว 4,349 มม. กว้าง 1,748 มม. และสูง 1,488 มม. ในขณะที่ระยะฐานล้อหน้า/หลังยาว 2,589 มม. และความสูงใต้ท้องรถ 135 มม.
ทุกสิ่งอย่างได้นำรุ่น RS มาเติมแต่งด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และ สัญลักษณ์ e:HEV ด้านหลัง เพียงเท่านั้น เอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ตพรีเมียมแฮทช์แบ็กรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว ไฟหน้ายังคงโดดเด่นแบบ FULL LED พร้อมชุดหน้ากระจังสี Piano Black
กระจกมองข้างสีดำติดตั้งกล้องมองภาพของระบบ Honda Lane Watch และที่กระจกหน้ามีกล้องที่ใช้ในการประมวลผลการทำงานของระบบ Honda Sensing
มุมมองด้านหลังแบบรถท้ายลาด ซึ่งให้ความเอนกประสงค์มากกว่าเดิม ไฟท้ายใช้แบบ LED มีการติดตั้งเสาอากาศแบบครีบฉลาม ติดตั้งล้ออัลลอย 16 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารติดตั้งวัสดุซับเสียงในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นหลังคา แผงข้าง พื้น รวมถึงผนังห้องเครื่องยนต์ รวมถึงฉีดสเปย์โฟมในส่วนที่เชื่อมต่อกันระหว่างประตูกับห้องเครื่องยนต์เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ทั้งยังหรูหรา สวยงามในโทนสีดำ มาพร้อมเบาะหนังกลับ ตัดขอบด้วยผ้าสีแดง
จุดเด่นหลักของรถรุ่นนี้มาจากเบาะนั่ง อัลตรา ซีท (ULTR) แยกพับแบบ 60:40 ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด ได้แก่
•Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
•Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาวได้ขนาดความจุถึง 2.8 ม.
•Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
•Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด
คอนโซลหน้าแบบ Piano Black มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้วที่แสดงระบบต่างๆของ Honda Sensing รวมถึงข้อมูลการใช้รถยนต์ต่างๆ โดยใช้สวิตช์ที่พวงมาลัยสั่งการ และยังมีระบบเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิล ชิฟท์ แต่ใช้เป็นตัวช่วยในการเร่งชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น
สำหรับเทคโนโลยี Honda Sensing ประกอบด้วย
•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ระบบเครื่องเสียงใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto รวมถึงระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พร้อมแสดงภาพจากกล้องมองหลังได้ถึง 3 มุมมองรวมถึงฟีเจอร์ Honda Lane Watch แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ติดตั้งกล้องมองภาพ 360 องศา
ระบบปรับอากาศเป็นแบบดิจิตอล มาพร้อมช่องระบายความเย็นสำหรับผู้โดยสารแถว 2
อีกหนึ่งความสะดวกสบายเข้ากับยุคสมัยนั่นคือ Honda Connect ซึ่งประกอบไปด้วย
1.MY SERVICE สามารถตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
2.DRIVING BEHAVIOR บันทึกข้อมูลและพฤติกรรมการขับขี่ต่างๆ ที่สามารถให้แสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี
3.WIFI เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ ซึ่งต้องสมัครแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยเจ้าของรถจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
4.AIRBAG DEPLOYMENT เมื่อถุงลมทำงาน จะส่งสัญญาณแจ้งผู้ใช้งานผ่านทางแอปพลิเคชันทันที และส่งข้อความสั้นไปยังเบอร์ติดต่อฉุกเฉิน นอกจากนี้ระบบจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
5.SECURITY ALARM แจ้งสถานะเมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก
6.REMOTE VEHICLE CONTROL สามารถสั่งล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด ฝากระโปรงหน้าและฝากระโปรงท้าย รวมถึงสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ ทั้งยังสามารถสั่งเปิด/ปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย
7.GEO FENCE & SPEED ALERT กำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และตั้งค่าแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนด
8.FIND MY CAR ตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุดผ่านทางแอปพลิเคชัน
บริเวณคอนโซลเกียร์มีเบรกมือเป็นแบบไฟฟ้า มาพร้อมกับ Auto Hold และ สวิตช์ Econ แต่ขาดหายไปในเรื่องของสวิตช์ EV
เทคโนโลยีชูโรงสำหรับ Honda City e:HEV มาจากการที่เป็นรถ Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ซิตี้คาร์ในประเทศไทย ที่มาระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 1 KWH มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
เมื่อรวมขุมพลังจะให้กำลังสูงสุดที่ 126 แรงม้า ที่ตอบสนองด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันตามอีโค่สติกเกอร์ถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม
ระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังทอร์ชั่นบีม ส่วนระบบเบรคเป็นหน้าดิส หลังดรัม มาพร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ตัวช่วยด้านความปลอดภัยมีทั้งระบบเบรกเอบีเอส, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist และสัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน
โจทย์บังคับสำหรับการทดสอบครั้งนี้คือมีเวลา 3 ชั่วโมง เส้นทางที่ใช้ในการทดสอบคือ บางนา-บางปู-บางปะกง ระยะทางไป-กลับ ราว 140 กม. การใช้งานในเมืองสบายหายห่วง และถือว่าเป็นรถที่คล่องตัวตามชื่อรุ่น ในย่านความเร็วต่ำถือว่าเก็บเสียงภายในห้องโดยสารได้เนี๊ยบ
การทำงานของ 5 ระบบ จาก Honda Sensing เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับการใช้งานในเมือง แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของ Adaptive Cruise Control ที่ยกเลิกการทำงานเองอัตโนมัติเมื่อความเร็วอยู่ที่ 25 กม./ชม. และหากรถคันหน้าเบรกกะทันหัน ผู้ขับขี่ต้องบังคับหรือหยุดรถด้วยตัวเอง แต่ก๋อนหน้าที่ระบบจะตัดการทำงาน CMBS หรือ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก จะมาทำหน้าที่ในการสั่นพวงมาลัย และดึงเข็มขัดนิรภัยไว้ให้ แต่ก็ไม่มีการหยุดรถอัตมัติให้แต่อย่างใด
แต่ในส่วนของระบบเตือนออกนอกเลนพร้อมดึงกลับอัตโนมัตินั้นทำงานได้อย่างราบรื่นและไว้ใจได้
ด้าน e:HEV จริงแล้วก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่สด เนื่องจากต้นทางมาจาก Honda Accord Hybrid แต่ได้ทำการลดขนาดเครื่องยนต์สันดาปจากขนาด 2.0 ลิตร เป็น 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าก็มีด้วยกันถึง 2 ชุด ในขณะที่แบตเตอรี่มีขนาดเล็กเพียง 1 KWh สิ่งทีได้มาเมื่อนำขุมพลังมารวมกันเป็น 126 แรงม้า แต่แรงบิดมหาศาลถึง 253 นิวตันเมตร อาการรอบรอบแบบรถที่ใช้ระบบอัดอากาศจึงหายไปโดยปริยาย
ด้านหลังพวงมาลัยมีแป้นแพดเดิลชิฟท์ แต่ไม่เกี่ยวกับอัตราทด ระบบนี้จะช่วยเพิ่มการหน่วงของล้อเพื่อช่วยให้เป็นตัวเร่งกำลังไฟที่ชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ มีให้เลือกหน่วงได้ 3 ระดับ และยิ่งหากใช้งานร่วมกับโหมด B จะยิ่งทำให้การชาร์จไฟจะทำได้ในเวลาที่เร็วขึ้น
ซึ่งจากการทดสอบ ระยะทางที่ใช้สำหรับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นทำได้ประมาณ 3 กม. แต่เวลาในการชาร์จไฟกลับไปยังแบตเดตอรี่นั้นไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากมีปัจจัยในหลายๆเรื่อง ที่สำคัญสุดนั่นคือพฤติกรรมการขับขี่
ขณะที่เค้นความแรงจากขุมพลัง เสียงแผดร้องของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ดังเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งยังสมทบมากับเสียงที่ลอยขึ้นมาแถวซุ้มล้อหลัง หากกลบด้วยเสียงเพลงอาจต้องเปิดเสียงให้ดังเพิ่มขึ้นอีกนิด ถึงจะพอกลบได้
ระบบช่วงล่างในย่านความเร็วต่ำนั้นใช้งานได้สบาย และนุ่มนวล แต่พอความเร็วสูงนั่นออกแนวเด้งไปสักนิด
หลังจากที่ได้ทำการทดลองขับระยะทางประมาณ 100 กม. ตามเส้นทางดังกล่าว ออกตัวไว้อีกนิดว่าการทดสอบในครั้งนี้ค่อนข้างจะเค้นสมรรถนะของขุมพลัง แต่ก็แอบตั้งความหวังไว้เล็กน้อยกับอัตราสิ้นเปลือง ซึ่งตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้คือ 19.6 กม./ลิตร ในความเร็วเฉลี่ยเกือบ 90 กม./ชม.
หากกล่าวโดยสรุป Honda City Hatchback eHEV มีความโดดเด่นอยู่หลายเรื่อง ด้านความเอนกประสงค์จากการปรับและพับเบาะนั่งได้หลากหลาย ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ที่โดดเด่นทางด้านความประหยัด รวมถึงเทคโนโลยี Honda Sensing แต่น่าเสียดายที่เหมือนยังให้ไม่เต็มเกี่ยวกับ Adaptive Cruise Control และเสียงที่ดังก้องในห้องโดยสารทั้งจากเวลาที่ต้องการใช้ความเร็วและเสียงจากแถวบริเวณซุ้มล้อด้านหลัง ถ้าเก็บรายละเอียดให้เนี๊ยบกว่านี้อีกสักนิดก็น่าจะดีไม่น้อยครับ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
Honda City Hatchback eHEV รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์* (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร ต่อจากระยะเวลาหรือระยะทางการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแรกสิ้นสุดลง รวมสูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)