NEW Mercedes Benz A 200 AMG DYNAMIC ซีดานน้องเล็กปรับรูปลักษณ์สไตล์ Facelift รวมถึงเติมเต็มระบบความปลอดภัยจากเทคโนโลยี ADAS ขุมพลังอัพเกรดเทคโนโลยีช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ พร้อมระบบเบรคและช๊อคอัพใหม่ ถือเป็นอะไรที่น่าทดลอง นอกจารูปลักษณ์ใหม่ การปรับปรุงครั้งนี้จะมีผลต่อการใช้งานมากน้อยเพียงใด ความคุ้มค่าจากราคาค่าตัว 2.3 ล้านบาท ที่ปรับเพิ่มจากเดิม 150,000 บาท จะมีอะไรเป็นไฮไลท์ เรื่องราวพร้อมให้ติดตามครับ
เจนเนอเรชั่นที่ 4 ของ Mercedes Benz A-class ซึ่ง เมอร์เซเดส เบนซ์ ประเทศไทย ได้จำหน่ายเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับปรับรูปแบบมาเป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ แทนการนำเข้า มาในวันนี้ การปรับโฉมในรู)แบบ Facelift ก็ได้เวลาที่จะปรุงแต่งใหม่ให้กับ Mercedes Benz A 200 AMG Dynamic
เริ่มจากมุมมองด้านหน้าที่ดุดัน กระจังหน้าออกแบบใหม่ พร้อมกับกับชน ไฟส่องสว่างเพิ่มเติมในส่วนของระบบ Auto Highbeam เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งพิเศษด้วยฝากระโปรงแบบ Thunder Dome นอกจากช่วยให้รูปลักษณ์สปอร์ต ยังช่วยในเรื่องของแอโรไดนามิค กระจกข้างจากเดิมมีร่องรีดอากาศถึง 3 ร่อง แต่รุ่นนี้เหลือช 1 ช่อง
ล้อแมกลวดลายใกล้เคียงเดิมขนาด 18 นิ้ว แต่บนหลังคามีการติดตั้งหลังคาแก้ว
ด้านท้ายปรับในส่วนไฟเล็กน้อย มาพร้อมดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ และที่เพิ่มเติมตามคำเรียกร้องนั่นคือระบบ Hand Free สำหรับเปิดฝากระโปรงท้าย แต่ถ้าปิด ยังไม่มีระบบรองรับอีกเช่นเคย
เบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้มหนังและหนังกลับ ตัดเย็บเดินขอบด้วยด้ายแดง ในส่วนของผู้ขับขี่ปรับด้วยไฟฟ้ามีหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง ส่วนเบาะผู้โดยสารไม่มีหน่วยความจำและระบบไฟฟ้าในการปรับเซท และเบาะหลังสามารถพับได้แบบ 40:20:40
พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นที่ใช้ในการสั่งการฟีเจอร์ต่างๆ ด้วยปุ่มแบบ Touch Pad แสดงการทำงานผ่านมาตรวัดแบบ Full Digital ขนาด 10.25 นิ้ว นอกจากจะปรับเปลี่ยนการแสดงผลของทั้งความเร็ว และ รอบเครื่องยนต์ ยังคงรวมไปถึง โหมดการขับขี่ ที่ปรับเปลี่ยนได้ทั้ง Eco Normal และ Sport ที่ปรับได้ทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ และ นน.พวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีก้าน แพดเดิล ชิฟท์ สำหรับ + – ตำแหน่งเกียร์
หน้าจอกลางระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 10.25 นิ้ว ติดตั้งระบบปฎิบัติการ Multimedia MBUX และระบบสั่งงานด้วยเสียง Hey Mercedes รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สายเป็นครั้งแรก รวมถึงระบบแผนที่นำทางแบบ 3 มิติ Hard-disk Navigation และสำหรับ Amblient Light ปรับได้ถึง 64 เฉดสี
คอนโซนกลางซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของ Touch Pad เดิม ในรุ่นที่ผ่านมา ถูกยกระบบออก เนื่องจากระบบปฏิบัติการ MBUX ที่อัพเดทมานั้นก็เพื่อรองรับการใช้งานแบบเดียวกัน โดยสั่งงานผ่านพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น และหน้าจอกลางเท่านั้น ระบบกล้องมองภาพร้อบคันยังแสดงภาพให้กับระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist ซึ่งทำงานร่วมกับกล้องมองภาพขณะถอยจอด และเซนเซอร์กะระยะช่วยจอด PARKTRONIC
ทั้งนี้ยังมีระบบเชื่อมต่อรถยนต์ Mercedes me connect ระบบโทรช่วยเหลือฉุกเฉิน Emergency Call System และระบบวิเคราะห์สภาพรถยนต์ Telediagnostics / ตั้งค่ารถยนต์ รวมถึงฟังก์ชั่นสตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อเปิดระบบปรับอากาศด้วยมือถือ Remote Engine Start
ขุมพลังจิ๋วแต่แจ๋ว ในรูปแบบของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบแบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 7G-DCT 7 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 8.1 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 17 กม./ลิตร
ทีเด็ดที่ได้พัฒนาขึ้นครั้งใหม่นั่นคือ ระบบ Cylinder shut-off ที่ทำให้เครื่องยนต์สามารถขับเคลื่อนด้วยลูกสูบเพียง 2 ลูกสูบ ทั้งนี้เพื่อลดภาระก่ารทำงานของเครื่องยนต์เพื่อให้ได้มาซึ่งความประหยัด
ระบบช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สัน ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม อัพเกรดช๊อคอัพใหม่แบบ Lowered comport suspension พร้อมปรับความสูงของตัวรถลดลงจากเดิมเล็กน้อย อัพเกรดเบรกหน้าแบบ 4 พอต และจานเบรคที่ใหญ่กว่าเดิม
ระบบ ADAS อัพเกรดเพิ่มเติมอีกหลายฟีเจอร์ ได้แก่
ระบบเบรก ADAPTIVE Brake
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบแอคทีฟ (Active Break Assist system)
ไฟกระพริบเบรกฉุกเฉิน (Adaptive brake light)
ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)
ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตู (Exit Warning Function)
ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)
ระบบแจ้งเตือนระดับแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system)
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
การทดสอบในครั้งนี้เริ่มจากใจกลางเมืองย่านสาธรไปจบปลายทางที่ ชะอำ จ.เพชรบุรี ระยะทางกว่า 150 กม. ในช่วงการจราจรพลุกพล่านถือว่าเป็นรถที่ค่อนข้างคล่องตัว แม้จะเป็นในรูปแบบของรถซีดาน เส้น Thunder Dome บนฝากระโปรงอย่างที่แจ้งไว้ว่าช่วยในเรื่องแอโรไดนามิก ยังช่วยให้การเล็งและกะระยะได้ง่ายขึ้น
Touch Pad บริเวณคอนโซลกลางที่หายไปน่าจะเป็นพื้นที่ของกล่องเก็บสัมภาระ เพราะขนาดโ?รศัพท์มือถือ ยังไม่มีพื้นที่พอที่จะวางได้ แต่การใช้งานไม่มีปัญหา จอกลางที่สังการในรูปแบบ Touch Screen ใช้งานได้ดี ไม่มีดีเลย์ เช่นดียวกับชุดมาตรวัด การปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลทำได้ 3 แบบ
ในส่วนเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนสามารถทำได้แบบไร้สายทั้ง Android Auto และ Apple Carplay มี Wiress Charge ติดตั้งให้เสร็จสรรพ สำหรับการเชื่อมต่อแบบสาย จะเป็นแบบ Type Z เท่านั้น
เบาะนั่งโอบกระชับดี เป็นหนังแท้สลับหนังกลับ เดินด้ายแดงคู่ ให้อารมณ์สปอร์ต แต่บริเวณพนักรองขาสั้นไปนิด ระยะทางในการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่ถึงกับทำให้เมื่อยล้า
แต่ระยะทางไกลและพอใช้ความเร็วสูงอาจมีเสียงรบกวนจากภายนอกเร็ดรอดมาให้ได้ยินอยู่พอสมควร
ความจี๊ดจ๊าดจากขุมพลัง 1.3 ลิตร ถือเป็นจุดเด่น พละกำลัง 163 แรงม้า 250 นิวตันเมตร เหลือเฟือต่อการใช้งาน โหมดการขับขี่มีให้เลือกทั้ง Eco Normal และ Sport ซึ่งตอบสนองการทำงานต่างกันไปทั้งเครื่องยนต์และน้ำหนักพวงมาลัย
ในส่วนของระบบใหม่ที่พัฒนามาเพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์นั้นจะทำงานในโหมดขับขี่ Eco เท่านั้น ซึ่งถือว่าช่วยประหยัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แสดงการทำงานเป็นสัญลักษณ์ โชว์ที่ชุดมาตรวัด ซึ่งปลายทางเป็นที่มาของความประหยัด
ระบบรองรับปรับมาใหม่อาจจะนุ่มนวลไปสักนิด แต่ขับทางไกลสบาย ยึดเกาะถนนได้ดี และเบรคได้มั่นใจยิ่งขึ้นเพราะนอกจากระบบ Cylinder shut-off ที่คอยช่วยเป็น Engine Brake ชุดคาลิเปอร์ และจานเบรกได้อัพเกรดให้ใหญ่กว่าเดิม
ระยะทาง 170 กม. ที่ใช้ในการทดสอบ ส่วนใหญ่จะเป็นย่านความเร็วสูง ก็ยังได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17 กม./ลิตร ซึ่งพอดีกับที่อีโค่สติกเกอร์ได้แสดงไว้
บทสรุปสำหรับ NEW Mercedes Benz A 200 AMG DYNAMIC นั่นคือ การปรับโฉมครั้งใหม่ในสไตล์ Face Lift ที่นอกจากจะดูทันสมัย สปอร์ต มาพร้อมฟีเจอร์ที่อัดแน่น ระบบช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ช่วยให้ประหยัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอย่างจี๊ดจ๊าดก็มีพละกำลังที่เหลือเฟือ และเบรกได้อย่างมั่นใจ ถ้าให้เพิ่มในส่วนของปิดฝาท้ายอัตโนมัติ และพนักรองนั่งให้มีขนาดใหญ่ขึ้น น่าจะขับชี่และใช้งานรถคันนี้ได้อย่างสมบูรณ์