ก่อนหน้านี้เราเคยสัมผัสกับสมรรถนะของ All New Mazda BT-50 ทั้งในช่วง Sneak Preview และ ลองขับบนเส้นทาง กรุงเทพ-ราชบุรี แต่ในครั้งนี้ ถึงคิวลุยของกระบะหน้าหล่อ ซึ่งได้นำร่นท๊อพ 3.0 SP 4WD Double Cab ราคาค่าตัว 1,153,000 บาท ไปลองสมรรถนะบนเส้นทางอ๊อฟโรด ติดตามรับชมว่ากระบะหน้าหล่อจะมีคุณสมบัติอะไรเด่นบนเส้นทางลุยกันได้เลยครับ
การทดสอบในครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ใช้ All New Mazda BT-50 เป็นรถทดสอบ แต่เป็นรุ่นท๊อพ 3.0 SP 4WD Double Cab โดยเป็นการทดลองสมรรถนะบนทางลุย รูปลักษณ์โดยรวมไม่ต่างไปจากรุ่นท๊อพ 1.9 ที่เคยได้สัมผัสในครั้งก่อน กระจังหน้าขนาดใหญ่ตามสไตล์ Signature Wing ของ มาสด้า พร้อมเส้นสายที่ได้รับการออกแบบให้ดูบึกบึน ไฟสูงและต่ำใช้หลอดแบบแอลอีดีพร้อมเลนส์แบบโปรเจคเตอร์ในทุกรุ่น ส่วนไฟเลี้ยวและไฟตัดหมอกยังเป็นแบบหลอดฮาโลเจน และล้อแมกในรุ่นท๊อพ ได้รับการติดตั้งให้เป็นขนาด 18 นิ้ว
ดีไซน์ภายในออกแบบมาด้วยความประณีต ในรุ่นท๊อพเบาะนั่งปรับได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง และหุ้มด้วยหนังแท้ ชุดมาตรวัดทรงกลมมีจอมัลติฟังค์ชั่นดิสเพลย์ ขนาด 4.2 นิ้ว แสดงข้อมูลการใช้งานและมีภาพกราฟิคทันสมัยเปิดขึ้นเองอัตโนมัติทุกครั้งที่ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์
พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังค์ชั่นปรับขึ้น/ลง ได้ 4 ทิศทาง มีสวิทช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงพร้อมกับสวิทช์ควบคุมระบบล๊อคความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
จอกลางขนาด 9 นิ้ว เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ทั้งระบบ Apple Carplay และ Android Auto รวมถึงแสดงภาพขณะถอยจอด เพิ่มความพิเศษด้วยมิติเสียงจากลำโพงเซอร์ราวด์บนเพดาน
ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ มีช่องระบายความเย็นบริเวณด้านหลังกล่องเอนกประสงค์
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 3.0 ลิตร ที่มาประจำการในรุ่นท๊อพให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าพร้อมแรงบิด 450 นิวตันเมตร อัตราบริโภคเชื้อเพลิงตามอีโค่สติ๊กเกอร์อยู่ที่ 14.1 กม./ลิตร
ระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัคิ 6 จังหวะ พร้อมบวก/ลบที่คันเกียร์ และยังมีตัวช่วยของระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออย่าง ระบบล๊อคเฟืองท้ายติดตั้งมาให้เสร็จสรรพ และอัพเกรดระบบเบรกใหม่ด้านหน้าแบบจานขนาด 17 นิ้ว ส่วนด้านหลังเป็นดรัมเบรค
ระบบความปลอดภัยติดตั้งถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และมีเทคโนโลยี ADAS แบบเดียวกับอีซูซุ เริ่มจากระบบเตือนจุดอับสายตา,ระบบควบคุมความเร็วลงทางชันและระบบช่วยออกตัวบนทางชัน รวมถึงระบบช่วยจอดโดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุและส่งกลับมาเป็นเสียงเตือน
มาเข้าสู่เรื่องราวในทางลุยกันเลย เริ่มที่ระบบขับเคลื่อนที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ปรับจากโหมด 2H มาเป็น 4H ได้โดยไม่ต้องหยุดรถ แต่จะให้เซฟไม่ควรปรับที่ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. สภาพพื้นดินที่พึ่งผ่านฝนฟ้าคะนองติดกันหลายวัน บางส่วนยังเป็นบ่อโคลน แต่เส้นทางที่ใช้ทดสอบ ส่วนใหญ่จะเป็นดินร่วนซุย และมาอุดที่ดอกยางออเทอเรนจนเป็นเหมือนโดนัท พวงมาลัยเริ่มเบา เพราะหน้าสัมผัสของยางถูกคลุมไปด้วยดิน
บางช่วงที่รถลื่นไถล Tracktion Control จะเข้ามาทำหน้าที่ตัดกำลังของล้อฝั่งด้านนอก เพื่อให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น แต่บางช่วงที่ดินแน่น พละกำลังของเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ คอมมอนเรล ขนาด 3.0 ลิตร เมื่อใช้ในสถานการณ์ลุย แรงบิด 450 นิวตันเมตรก็สูงพอที่จะทำให้ก้าวข้ามอุปสรรคได้ตลอดรอดฝั่ง
ระบบช่วงล่างปรับเซทมาค่อนข้างนุ่มนวล แต่ก็ไม่ถึงกับย้วย บนเส้นทางที่ใช้ทดสอบพอมีเนินเล็กๆให้ได้ลองช่วงยืดยุบของระบบช่วงล่าง สำหรับการยึดเกาะในเส้นทางลุย พอได้ช่วงล่างนุ่ม ท้อง ไส้ ก็อาจมีอาการปั่นป่วนน้อยกว่า
เนินเอียงที่ได้ทำการทดสอบ แม้จะองศาไม่ลาดเทมาก แต่ด้วยสภาพพื้นที่พึ่งผ่านฝนฟ้าคะนอง ทำให้ดินค่อนข้างนุ่ม ซึ่งทำให้ยาง Hiterrain ที่ติดมากับรถ อาจมีอาการลื่นไถลไปบ้าง
ในสถานการณ์ที่เป็นเนินสลับ ล้อทั้ง 4 อาจยึดเกาะพื้นดินเพียงแค่ 2 ล้อ นั่นคือ ล้อหน้าฝั่งซ้าย และ ล้อหลังฝั่งขวา ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปต่อได้ ระบบล๊อคเฟืองท้ายอัตโนมัติ จะเข้ามาทำหน้าที่ในการกระจายแรงบิดของล้อฝั่งที่ลอย ไปยังล้อฝั่งที่ติดพื้น กำลังที่หายไปก็ได้คืนกลับมา และสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้อย่างสบาย
อีกหนึ่งระบบที่ถือเป็นตัวช่วยสำคัญอบ่าง ระบบควบคุมความเร็วระหว่างลงทางลาดชัน ซึ่งจะสั่งให้เครื่องยนต์และเบรกควบคุมความเร็วให้ไม่เกิน 10 กม./ชม. ซึ่งช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้นแม้สภาพเส้นทางจะมีความลาดชันมากก็ตาม
หลายสถานการณ๋ที่ได้ลองบนเส้นทางลุย พอจะเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า All New Mazda BT-50 นั้นนอกจากจะมีรูปลักษณ์ที่สง่างาม สมรรถนะในการลุยก็ไม่ได้ตกเป็นรองคู่แข่ง อาวุธลับอย่างระบบล๊อคเฟืองท้ายเพียงแค่ระบบเดียว ก็สามารถนำพาให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆมาได้อย่างไม่สะบักสะบอม แต่ช่วงล่าง ถ้าปรับเซทมาให้แน่นกว่านี้อีกสักนิด กระบะหน้าหล่อรุ่นนี้ จะขับสนุกและดุทะมัดมะแมงขึ้นอีกเยอะครับ