เปิดตัวครบทั้งไลน์ผลิต สำหรับ Nissan Navara 2021 ทั้งรุ่น King Cab,Double Cab รวมถึงรุ่นพิเศษ Pro2X และ Pro4X ในราคาตั้งแต่ 599,000-1,149,000 บาท ความต่างในแต่ละรุ่นและสมรรถนะในทางลุยแบบสั้นๆจะเป็นเช่นไร ติดตามรายละเอียดได้เลยครับ
เป็นอีกครั้งที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศแรกที่มีการเปิดตัวและจำหน่าย ก่อนที่จะผลิตส่งออกไปยังอีกหลายประเทศทั่วโลก การปรับปรุงครั้งใหญ่
สัดส่วนเมื่อเทียบกับ Navara รุ่นเดิมยาว 5,255 x 1,850 x 1,820 มิลลิเมตร ส่งผลให้มิติตัวรถยาวขึ้น 5 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 25 มิลลิเมตร และ สูงขึ้น 20 มิลลิเมตร
กระจังหน้าใหม่แบบ Interlock ที่เป็นเอกลักษณ์การออกแบบรถกระบะของ Nissan และถูกใช้ในรุ่นใหญ่อย่าง Titan มี 3 สีได้แก่ สีเทาดำในรุ่น Pro4X และ Pro2X ส่วน Double Cab และ King Cab Caliber จะเป็นแบบโครเมียม และ King Cab รุ่นล่างสุดเป็นสีดำ
กันชนหน้าและกันชนหลังทำสีเดียวกับตัวรถ ยกเว้น Pro 4X กับ Pro 2X ที่มีดีไซน์แตกต่างและให้อารมณ์บึกบึนในสไตล์ออฟโร๊ด ส่วนรุ่นล่างอย่าง King Cab จะเป็นสีดำ
ทุกรุ่นได้รับการติดตั้งระบบไฟหน้าแบบ QUAD – LED คุณภาพสูง 4 ดวงพร้อม Daytime Running Light ยกเว้น King Cab รุ่นเริ่มต้นที่จะใช้ไฟแบบฮาโลเจน
ในส่วนของไฟท้ายก็ยังคงเป็นแบบ LED และยังมาพร้อมฝาท้ายแบบช่วยผ่อนแรง
ล้อและยางมีด้วยกัน 3 ขนาด รุ่นท๊อพ Double Cab VL 4WD มากับขนาด 18 นิ้ว Pro 4X และ Pro2X รวมถึงรุ่น Double Cab ขับเคลื่อน 2 ล้อ เป็นขนาด 17 นิ้ว และ King CAB ใช้ขนาด 16 นิ้ว
ภายในห้องโดยสาร Navara ใหม่ให้ความเงียบมากขึ้นด้วยกระจกแบบ Noise-reducing acoustic glass บริเวณ 3 บานหน้าที่ลดเสียงรบกวนจากภายนอก เน้นการตกแต่งด้วยสีดำ ส่วนคอนโซลกลางจะเป็นแบบ Piano Black เบาะนั่งได้เพิ่มเติมระบบไฟฟ้าในรุ่น Double Cab ส่วน Pro 4X และ Pro 2X ที่เป็นรุ่นพิเศษนั้นยังไม่ได้รับการติดตั้ง แต่มีการปักฉลุชื่อรุ่นไว้เพื่อเป้นสัญลักษณ์
พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น ควบคุมและสั่งการระบบต่างๆโดยมีสวิทช์ควบคุมทั้งชุดเครื่องเสียง โทรศัพท์ และปรับตั้งค่าระบบตังช่วยการขับขี่อีกมากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้หมายรวมถึง Adaptive Cruise Control
ชุดมาตรวัดแบบหน้าจอสีแสดงผลสามมิติแบบ TFT ความละเอียดสูง ขนาด 7 นิ้ว ในรุ่น VL และ Pro 4X แสดงการทำงานของระบบต่างๆตามเทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility ไว้ครบ
จอกลางแสดงข้อมูลและความบันเทิงเป็นแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มาพร้อมเทคโลยี Nissan Connect รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android Auto และ Apple Carplay รวมถึงแสดงการทำงานของกล้องมองภาพรอบคันและระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว MOD ส่วนรุ่นล่างอย่าง King Cab จะมีขนาดเพียง 7 นิ้ว แต่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆได้เช่นกัน
ขณะที่ที่นั่งด้านหลังเพิ่มความสบายด้วยดีไซน์ใหม่นุ่มสบายที่เข้ากับสรีระของผู้โดยสาร มีที่พักแขนตรงกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง
เครื่องยนต์มี 3 แบบ สำหรับบล็อกเดียวกับ Nissan Terra ที่ถือเป็นไฮไลท์ นั่นคือรหัส YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร 2,298 ซีซี. DOHC Twin-Turbo Intercooler ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ มีระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ และในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อจะมีอาวุธลับอย่าง Diff Lock ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐ่าน
สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา ใช้เครื่องยนต์รหัส YS 23 DDT ขนาดความจุ 2.3 ลิตรเช่นกัน แต่เป็นเทอร์โบเดี่ยว ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้าที่ 3,750 รอบ พร้อมแรงบิด 403 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ
และอีกหนึ่งเครื่องยนต์ในรหัส YD 25 DDTi ซึ่งประจำการอยู่ในรุ่น King Cab เท่านั้น โดยมากับขนาดความจุ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้าที่ 3,600 รอบ พร้อมแรงบิด 403 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
ระบบกันสะเทือนในนาวาร่าใหม่ทุกรุ่น ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแหนบและช๊อคอัพ ส่วนระบบเบรคนั้นยังไม่ได้ติดตั้งดิสเบรคทั้ง 4 ล้อ โดยใช้หน้าดิส หลังดรัม แบบเดิม
ระบบความปลอดภัยอุ่นใจได้ Nissan ยืนยันว่านี่คือ Navara ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเทคโนโลยีนิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี เสริมความปลอดภัยแบบ 360 องศา ได้แก่
ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) ที่จะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) ที่จะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็ว และหยุดรถ เพื่อลดความรุนแรง หรือ ลดความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ
ระบบเตือนคนขับอัจฉริยะ (Intelligent Driver Alertness) ซึ่งจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่หยุดพัก เมื่อตรวจพบ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับขี่ หรือการหักเลี้ยว ที่จะทำงานร่วมกับ
ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง (Lane Departure Warning) ที่จะเตือนผู้ขับขี่หากรถเคลื่อนออกนอกเลนโดยไม่มีสัญญาณไฟเลี้ยวกำกับ
ระบบควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention) จะนำรถยนต์กลับไปที่กึ่งกลางของเลนหากยังมีการเคลื่อนที่ต่อไป เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่มากขึ้นด้วยเทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับรถคันอื่นที่อยู่ในจุดอับสายตา
ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) ที่ทำงานควบคู่กับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection – MOD) ซึ่งจะใช้กล้อง 4 ตัวเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพวัตถุโดยรอบ หรือที่กำลังเข้ามาใกล้
ระบบยังมีจอมอนิเตอร์ Off-Road Meter ที่ช่วยให้เห็นอุปสรรครอบคันขณะขับขี่ในโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ 4LO
ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA)
ระบบป้องกันการลื่นไถล (Active Brake Limited Slip Differential System) ในโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (Trailer Sway Assist)
สำหรับ Nissan Intelligent Mobility นั้นจะมีบางฟีเจอร์ที่ถูกตัดออกไปจากรถแต่ละรุ่น นอกจาก Diuble Cab VL Pro4X และ Pro2X ที่จะมีมาครบ น่าเสียดายที่ นิสสัน นาว่าใหม่ ขาดฟีเจอร์สำคัญอย่าง Adaptive Cruise Control ซึ่งไม่ได้ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
อีกหนึ่งเทคโนโลยีของยุคสมัยอย่าง Nissan Connect มีให้ได้สัมผัส ซึ่งใช้งานง่าย เพียงโหลดแอพลิเคชั่นแล้วนำมาติดตั้งในสมาร์โฟน ข้อมูลต่างๆ รวมถึงสถานะการใช้รถ สามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว
ทั้งหมดที่รีวิวเป็นนั้นเป็นความแตกต่างของรถในแต่ละรุ่น ทดลองขับ และเรื่องราวต่อจากนี้ไปจะเข้าสู่กิจกรรมการทดสอบ
นิสสันมอเตอร์ ประเทศไทย ได้โลเคชั่นสวยๆเป็นที่ดินเปล่าแถบริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านเจริญนคร จากนั้นได้ทำการเนรมิตสถานที่ให้เป็นสนามทดสอบที่จำลองสภาพเส้นทางลุยมาให้หลายรูปแบบ ทั้งบ่อน้ำ ทางกรวด เนินเอียง และ เนินชัน
ถ้าเท้าความถึงรุ่นเดิมที่ค่อนข้างขึ้นชื่อเกี่ยวกับช่วงล่างที่แข็งกระด้าง ยิ่งส่วนของที่นั่งแถว 2 หรือในแคป ยิ่งรับรู้ความสะเทือนได้เป็นอย่างดี ทางทีมวิศวกรได้ไปทำการบ้านเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยเปลี่ยนพวงมาลัยให้ซับแรงสั่นสะเทือนที่มากับคุณสมบัติช่วยลดอาการสะท้านมายังผู้ขับขี่ รวมถึงปรับช๊อคอัพใหม่ให้นุ่มและหนึบกว่าเดิม
ขุมพลังที่เคยอยู่ใน Nissan Terra นำมาประจำการในบอดี้ที่นน.ลดลง แน่นอนว่าอัตราเร่งดีขึ้นหายห่วง เครื่องยนต์ YD 23 DDTI มากับระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดที่ 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ แม้จะได้ลองแค่ระยะทางสั้นๆ แต่แรงตะกุยบนเส้นทางแบบนี้ไม่ธรรมดา
กรณีที่ใช้งานระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4 Low และใช้ความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. กล้องมองภาพรอบคันจะเปิดการทำงานอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้เห็นถึงสภาพเส้นทางได้ง่ายขึ้น
ในการขึ้นเนินชัน มุมปะทะ และ มุมจากของรถมีความสำคัญเพราะจะทำให้รถบอบช้ำน้อย ยิ่งความลาดชันมาก ความบอบช้ำก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูง สำหรับนาวาร่าใหม่ มีมุมปะทะ 22.4 องศา มุมจาก 34.5 องศา ทางผู้จัดงานได้สร้างเนินชัน 50 องศาเพื่อให้ได้ทดลองไต่ความชัน โดยใช้รอบเครื่องยนต์ที่ต่ำเพียง 1,500-1,700 รอบ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่รอบเครื่องยนต์ แต่เป็นมุมที่จะเกิดการปะทะจากองศาของเนินชัน แต่ทั้งหมดก็ผ่านไปได้ด้วยดี
บทสรุปของสัมผัสแรกกับ นิสสัน นาวาร่า ใหม่ นอกจากจะให้ความดุดันจากรูปลักษณ์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ไฟหน้าแบบ Quad LED นั้นถือเป็นรถกระบะรุ่นแรกที่ติดตั้งไฟส่องสว่างที่ให้คุณสมบัติสูง รวมถึงเทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility ที่ให้มาเกือบครบครัน จะขาดก็เพียงแต่ Adaptive Cruise Control
ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ในการทดลองขับระยะสั้นๆนั้น ถือว่าได้มาซึ่งความแรง เพราะก่อนหน้าที่อยู่ใน Niisan Terra อาจมีนน.ที่หนักกว่า พอมาอยู่ในนาวาร่าใหม่ ความต่างของนน.จึงเป็นที่มาของความแรงที่ขับสนุกขึ้นกว่าเดิม ฟิลลิ่งการขับขี่ถือเป็นการบ้านที่ผู้ผลิตตระหนักถึงและได้ปรับปรุงด้วยการติดตั้งระบบซับแรงสั่นสะเทือนที่พวงมาลัย รวมถึงปรับจูนโช๊คอัพให้นุ่ม หนึบ จนลืมฟิลลิ่งในรุ่นก่อนไปได้เลย
Nissan Navara 2021 เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 599,000-1,149,000 บาท ส่วนคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันที่เปิดตัวไปก่อนหน้าอย่าง Toyota Hilux Revo เริ่มที่ 584,000-1,239,000 บาท และฟอร์ด เรนเจอร์เริ่มที่ 669,000 -1,265,000 บาท ถือว่ามีแต้มต่อในด้านราคาอยู่พอสมควร และจะขึ้นโชว์ตัวพร้อมล่ายอดจำหน่ายทุกโชว์รูมทั่วไทยในวันที่ 1 ธันวาคมนี้
สำหรับผลทดสอบแบบเต็มรูปแบบ ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ จะรีบนำมารายงานให้ได้รับชม