New Nissan Terra รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวที่พร้อมพาทุกคนไปทุกเส้นทาง ภายนอกดีไซน์ใหม่สะท้อนความละเอียดประณีตและโมเดิร์น ออกแบบภายในใหม่ให้เรียบหรูดูพรีเมียมกว่าเดิม ให้ความสะดวกสบายด้วยระบบเอ็นเตอร์เทนเมนท์คุณภาพสูงพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย 360 องศา ขุมพลังดีเซลเทอร์โบคู่ขนาด 2.3 ลิตร 190 แรงม้า ยึดเกาะถนนด้วยระบบช่วงล่างแบบไฟว์ลิงค์ มาพร้อมดิสเบรคทั้ง 4 ล้อ ที่มาพร้อมค่าตัว 1.499 ล้านบาท จะมีความคุ้มค่าและน่าใช้เพียงใด…ติดตามได้จากรายงาน
New Nissan Terra ปรับใหม่ในสไตล์ไมเนอร์เชนจ์ หลังจากที่รุ่นแรกที่ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ได้นำออกสู่ตลาดก่อนหน้าเมื่อ 3 ปีก่อน มีขนาดตัวถังที่ปรับเพิ่มกว่าเดิมเล็กน้อยตามความ ยาว 4,890 มม. กว้าง 1,865 มม. และสูง 1,865 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะความสูงใต้ท้องรถ 225 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร
การปรับปรุงในครั้งนี้มาพร้อมความหรูหราจากกระจังที่ออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เส้นโครเมียมแนวนอนด้านในกระจังช่วยเสริมบุคลิกที่หรูหรา รับกับเส้นสายที่ต่อเนื่องจากฝากระโปรง เสริมแผ่นกันกระแทกด้านล่างที่เป็นสีเงิน ตามสไตล์เอสยูวีทันสมัย
ไฟหน้า Quad LED 4 ดวง ดีไซน์ใหม่ ประสิทธิภาพสูงให้ความสว่างมากขึ้นถึง 34% ไฟ Daytime Running Light และ ไฟตัดหมอกใช้เป็น LED ประสิทธิภาพสูง
ขณะที่ด้านท้ายถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่สปอยเลอร์บนหลังคาจนถึงชายกันชนด้านล่าง ฝาท้ายเพิ่มความหรูหรา ด้วยการใช้วัสดุโครเมียม และชิ้นส่วนสีเงิน ขณะที่ไฟท้ายลดความสูง และเพิ่มความกว้าง โดยเป็นไฟ LED แบบ Light Guide เส้นคู่ และไฟเบรกก็เป็นแบบ LED เช่นกัน
ฝาประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์ด้านใต้กันชนหลัง (Auto Lift Gate)
ในขณะที่ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารของ เทอร์ร่า ใหม่ เพิ่มฉนวนลดเสียงรบกวนทุกจุดสำคัญของโครงสร้างของรถ และเป็นรุ่นเดียวในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ระดับเดียวกันที่มีการติดตั้งกระจกตอนหน้าและประตูคู่หน้าแบบ Acoustic Glass มาพร้อมคอนโซลกลางดีไซน์ใหม่ ส่วนห้องโดยสารมาพร้อมทางเลือกของการตกแต่งแบบทูโทน ทั้งโทน สีดำ-แดงเบอร์กันดี (Burgundy) หรือ โทน สีดำ-เบจ
และเปลี่ยนมาใช้เบรกมือไฟฟ้า รวมถึงสามารถเพิ่มพื้นที่ที่วางแขนพร้อมช่องเก็บของที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และปุ่มควบคุมการปรับและพับเบาะนั่งแถว 2 ได้มีการปรับปรุงใหม่เช่นกัน
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังรูปทรง D-shape แบบสปอร์ต ปรับอัตราทดใหม่ มีปุ่มควบคุมการทำงานของรถ มารวัดใช้จอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว สามารถปรับตั้งการทำงานของระบบต่าง ๆ ได้ผ่านปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย มีให้เลือกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
หน้าจอสัมผัสระบบเครื่องเสียง Display Audio ใหม่ขนาด 9 นิ้ว ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน เพิ่มความคมชัดในการใช้งานด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยลดแสงสะท้อนของหน้าจอด้วยความละเอียดที่สูงขึ้นกว่าเดิมที่ระดับ WXGA (1024×768) พร้อมด้วยระบบนำทาง (Navigation System) ระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition) พร้อมแสดงการทำงานของระบบกล้องมองภาพรอบคัน
เครื่องเสียงจาก Bose Premium Audio System (ในรุ่น VL) ซึ่งนิสสันร่วมกับ Bose ออกแบบการจัดวางลำโพงทั้ง 8 ตำแหน่ง และแอมพลิฟายเออร์
เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ทั้ง 2 ระบบ แต่ Apple CarPlay เป็นแบบไร้สาย (Wireless Apple CarPlay) เพิ่มความสะดวกอย่างปลอดภัย สามารถใช้งานผ่านบลูทูธได้โดยไม่จำเป็นต้องต่อสายชาร์จอีกต่อไป รวมถึงเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charger) ให้กำลังการชาร์จไฟสูง 15 วัตต์ ติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลหน้า เพียงแค่วางสมาร์ทโฟน แถมยังมีช่องชาร์จ USB สำหรับผู้โดยสารแถวทีสาม โดยทั้งคันมี USB-A 3 จุด และUSB-C 2 จุด
กระจกมองหลังติดตั้งระบบ Intelligent Rear View Mirror มาใช้เป็นรายแรก ซึ่งเป็นการติดกล้องความละเอียดสูงที่กระจกบานหลัง ให้จุดเด่นด้านความปลอดภัยตลอดการขับขี่ เสริมทัศนวิสัยที่ดีขึ้นในทุกสภาพ เพิ่มความชัดเจนแม้มีผู้โดยสารตอนหลัง หรือ สัมภาระขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังให้มุมมองที่กว้างกว่ากระจกมองหลังทั่วไป ให้ความชัดเจนแม้ในขณะฝนตกหนัก หรือแม้กระทั้งรถที่ติดฟิล์มมืดสนิทกว่าปกติ
หน้าจอหลังขนาดใหญ่ 11 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง สามารถสตรีมมิ่งช่องโปรด เช่น NetFlix และ YouTube ผ่านช่อง HDMI ได้อย่างง่ายดาย
ขุมพลังไม่ได้ปรับเปลี่ยน ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ รหัสYS23DDTT ขนาดความจุ 2.298 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบ five-link coil spring rear suspension system
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นแบบมือหมุน มีการติดตั้งอาวุธลับอย่างระบบ Electronic Locking Rear Differential (Diff-Lock) ช่วยกระจายกำลังไปยังล้อหลังทั้ง 2 ข้างเพื่อเสริมกำลังฉุดให้ขับออกจากหล่มหรือในสถานการณ์ที่ต้องการแรงบิดสูงในโหมด 4L ได้ง่ายขึ้น และระบบป้องกันการลื่นไถล Brake Limited Slip Differential (B-LSD) โดยระบบจะส่งแรงไปยังล้อที่ลื่นไถลให้การออกตัวที่ลื่น พร้อมกระจายแรงขับขี่ไปที่ล้อแต่ละข้างเมื่อขับขี่ในโหมด 4H
ขณะที่ระบบเบรกใหม่ ดิสก์เบรกหน้า และ หลัง ขนาดใหญ่พร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ
นิสสัน 360° เซฟตี้ ชิลด์ (360° Safety Shield Technology) เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ใน นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ ทำให้ทุกการขับขี่ เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย
เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) จะทำงานทันทีที่เริ่มขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และแสดงผลเป็นภาพมุมสูงแบบ Bird’s-eye View ผ่าน หน้าจอเครื่องเสียงกลางคอนโซลขนาด 9 นิ้ว ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุที่กล้องรอบคันจับการเคลื่อนไหวได้ โดยจะปรากฏบนหน้าจอเครื่องเสียงกลางคอนโซล ช่วยให้การขับรถในสถานการณ์ต่าง ๆ ง่ายยิ่งขึ้น
พิเศษขึ้นไปอีก สำหรับ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ รุ่น 4WD ที่เพิ่มระบบ Off-Road Mode เมื่อเปิดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งช่วยเพิ่มมุมมองรอบตัวรถขณะขับขี่ให้คุณมั่นใจและปลอดภัย แม้ในทางที่ลำบาก รวมถึงการทำงานร่วมกับ Parking Sonar ที่ติดตั้งเซนเซอร์ที่กันชนหน้า 4 จุด และกันชนหลัง 4 จุด เมื่ออยู่ในเกียร์ D และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่เกิน 10 km/h ทันทีที่เซนเซอร์ตรวจพบวัตถุ จะส่งเสียงเตือนและระบบ IAVM จะแสดงภาพโดยอัตโนมัติที่หน้าจอเครื่องเสียง เพิ่มทัศนวิสัยให้ผู้ขับขี่ ลดข้อจำกัดสำหรับรถยนต์ที่มีความสูงได้เพิ่มมากขึ้น
เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) จะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า เมื่อเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป โดยเทคโนโลยีนี้สามารถตรวจจับได้ถึงรถคันที่สองที่อยู่ต่อจากคันหน้า
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) ระบบนี้จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็ว และหยุดรถ เพื่อลดความรุนแรง หรือ ลดความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ เทคโนโนยีต่างๆที่ตามติดมาจากรุ่นเดิม ยังคงอัดแน่นเต็มๆคัน ได้แก่
-เทคโนโลยีเตือนรถในมุมอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW)
-เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA)
-เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning – LDW)
-เทคโนโลยีเตือนผู้ขับขี่เมื่อรู้สึกถึงการขาดสมาธิหรือเหนื่อยล้า(Intelligent Driver Alertness – IDA)
-เทคโนโลยีช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA) และ เทคโนโลยีควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันHill Descent Control (HDC)
-ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control (TCS) และ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ Vehicle Dynamic Control (VDC)
-ระบบเบรกมากับ ABS, EBD และ B-LSD พร้อมถุงลม SRS คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 ตำแหน่ง
สัมผัสแรกกับการทดสอบสมรรถนะที่ทางบริษัทผู้ผลิตได้ปรับปรุงในหลายๆส่วน ขอเริ่มจากการปรับและพับเบาะนั่งแถว 2 ซึ่งในรุ่นก่อนนั้น เมื่อใช้งานระบบการพับเบาะด้วยสวิตช์บริเวณคอนโซลเกียร์ การพับนั้นค่อนข้างรุนแรง ซึ่งในครั้งนี้ได้ปรับให้มีความนุ่มนวลกว่าเดิม
ฟิลลิ่งการควบคุมรถไม่ต่างจากเดิมมากนัก ความแม่นยำของพวงมาลัยยังคงเชื่อถือได้ รวมถึงการเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้นทำได้ดีและเงียบ โดยการติดตั้งวัสดุซับเสียงในห้องโดยสารและใช้กระจก 3 บานหน้าแบบ Acoustic Glass
ขุมพลังจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ รหัสYS23DDTT ขนาดความจุ 2.298 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ทำงานได้ราบรื่น แม้ว่าในตลาดของรถกลุ่มนี้อาจมีขุมพลังที่แรงกว่า แต่การตอบสนองของขุมพลังของ นิสสัน เทอร่า ใหม่ ก็ไม่ได้น้อยหน้า อัตราเร่ง 0-100 ใช้เวลาประมาณ 12 วินาที และอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 15 กม./ลิตร ตามรูปแบบของอีโค่สติ๊กเกอร์
ระบบช่วงล่างหน้าแบบอิสระ พร้อมด้านหลังแบบไฟว์ลิงค์ ยังคงให้การยึดเกาะถนนได้ดี และมีการปรับปรุงในส่วนของโช๊คอัพที่มีความแน่นมากขึ้นกว่าเดิมชัดเจน และในส่วนของดิสเบรกทั้ง 4 ล้อให้การหยุดรถได้อย่างมั่นใจ
ในส่วนของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นมีอาวุธลับที่ช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย ทั้ง Diff Lock และ B-LSD ซึ่งทำหน้าที่ในการใช้เบรกมาช่วยในกรณีที่ล้อฟรีทิ้ง เช่น การติดหล่มโคลน เป็นต้น
สรุปการเปลี่ยนแปลงและผลการทดสอบสมรรถนะกับ New Nissan Terra นั้นนอกจากรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงไฟหน้าในรูปแบบ Quad Led ที่มีคุณสมบัติของการส่องสว่างของแสงไฟที่ให้ทัศนวิสัยที่ดีขึ้นในช่วงกลางคืน กระจกมองหลังเป็นรายแรกที่ติดตั้งกล้องและแสดงภาพที่ชัดเจน สวิทช์เบาะนั่งแถว 2 ปรับให้ใช้งานได้นุ่มนวลมากขึ้น ระบบความบันเทิงสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อดูหนัง ฟังเพลง ได้ทุกรูปแบบ
ขุมพลังเครื่องยนต์ไม่ได้รับการปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม จะมีก็แต่ระบบช่วงล่างที่พัฒนาให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น และอาวุธลับของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็ไม่ได้น้อยหน้าคู่แข่ง ราคาจำหน่าย 1.499 ล้านบาทก็ค่อนข่างสมเหตุสมผลกับฟีเจอร์ต่างๆที่ติดตั้งมาให้ล้นคัน แต่คงต้องมาลุ้นกันอีกทีว่า New Nissan Terra จะเข้าไปครองใจแฟนๆนิสสันได้ตามเป้าหมายหรือไม่