Mercedes Benz GLA 200 AMG Dynamic ปรับปรุงรูปลักษณ์ครั้งใหญ่ พร้อมเปลี่ยนจากการนำเข้ามาเป็นประกอบในประเทศด้วยราคา 2.399 ล้านบาท ซึ่งถูกลงกว่าเดิม ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ ขนาดความจุ 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ 7 G Tronic แบบเดียวกับที่ใช้ใน A Class และ GLB Class พร้อมทั้งปรับแต่งระบบช่วงล่างใหม่ ผลทดสอบสมรรถนะของเอสยูวีครอสโอเวอร์น้องเล็กจากค่ายดาวสามแฉกจะเป็นเช่นไร ปิดท้ายด้วยการเปรียบเทียบกับคู่แข่งตรงรุ่นอย่าง BMW X1 Sdrive 20 D เรื่องราวทั้งหมดพร้อมให้ได้รับชมครับ
Mercedes Benz GLA 200 AMG Dynamic กลับเข้าสู่สังเวียนของรถยนต์ในกลุ่มครอสโอเวอร์เอสยูวีด้วยรูปลักษณ์ใหม่ทั้งภายนอกและภายใน รวมไปถึงการปรับมิติตัวรถให้กว้างและสูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม มากับชุดแต่ง AMG Line ทั้งด้านหน้า หลัง และด้านข้าง พร้อมหน้ากระจังแบบ Diamond Grill ที่ดูหรูพร้อมโลโก้ขนาดใหญ่
โคมไฟหน้าเปลี่ยนรูปแบบมาเป็น LED High Performance มาพร้อมไฟกลางวัน ซึ่งมาพร้อมระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
ล้อ AMG ลาย 5 ก้าน หุ้มยาง 235/50 R19
ไฟท้ายก็มาพร้อมดีไซน์ใหม่ ท่อไอเสียแบบคู่ และดิฟฟิวเซอร์ติดตั้งมาเสร็จสรรพ แต่ฝาท้ายเปิดได้น้อยตำแหน่ง คือได้จากตัวฝาท้ายเองเท่านั้น
ห้องโดยสารปล่อยให้ AMG Interior Package รับหน้าที่ในการออกแบบให้ดูหรูหรา และสปอร์ต เริ่มจากเบาะนั่งหุ้มหนัง Articoเย็บด้ายแดง ด้านในจะเป็นผ้ากำมะหยี่ คู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง และสามารถปรับที่รองขาเพื่อความแตกต่างของสรีระผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า เสริมความสปอร์ตด้วยแผงคาร์บอนที่คอนโซลและข้างประตู
พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นใช้ในการสั่งการฟีเจอร์ต่างๆ ด้วยปุ่มแบบ Touch Pad แสดงการทำงานผ่านมาตรวัดแบบ Full Digital ขนาด 10.25 นิ้ว นอกจากจะปรับเปลี่ยนการแสดงผลของทั้งความเร็ว และ รอบเครื่องยนต์ ยังคงรวมไปถึง โหมดการขับขี่ Dynamic Select ที่ปรับเปลี่ยนได้ทั้ง Eco Normal และ Sport ที่ปรับได้ทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ และ นน.พวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีก้าน แพดเดิล ชิฟท์ สำหรับ + – ตำแหน่งเกียร์
หน้าจอกลางระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 10.25 นิ้ว ติดตั้งระบบปฎิบัติการ Multimedia MBUX และระบบสั่งงานด้วยเสียง Hey Mercedes รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Apple CarPlay และ รวมถึงระบบแผนที่นำทางแบบ 3 มิติ Hard-disk Navigation และสำหรับ Amblient Light ปรับได้ถึง 64 เฉดสี และ ช่องเสียบ USB มี 2 ตำแหน่ง อยู่ในกล่องอเนกประสงค์และด้านหลังซึ่งเป็นแบบ Type C
นอกจากนี้ ยังแสดงภาพให้กับระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist ซึ่งทำงานร่วมกับกล้องมองภาพขณะถอยจอด และเซนเซอร์กะระยะช่วยจอด PARKTRONIC รวมถึงระบบเชื่อมต่อรถยนต์ Mercedes me connect ระบบโทรช่วยเหลือฉุกเฉิน Emergency Call System และระบบวิเคราะห์สภาพรถยนต์ Telediagnostics / ตั้งค่ารถยนต์
Touch Pad บริเวณคอนโซลกลางจะใช้เป็นการควบคุมหลักซึ่งพัฒนาให้ลดการดีเลย์ขณะที่ใช้งาน คุณภาพเทียบเท่ากับระบบสัมผัสของสมาร์ทโฟนรุ่นท๊อพ
ระบบปรับอากาศเป็นแบบ Dual Zone พร้อมช่องแอร์แบบ Turbine Jet ที่หรูหรา
ขุมพลังมหาชนเราะใช้กับรถยนต์ในเครืออีกหลายรุ่น ในรูปแบบของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบแบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 7G-DCT 7 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 8.7 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 15 กม./ลิตร
ในส่วนของระบบช่วงล่างได้มีการปรับระบบรองรับให้เป็น Lowered Comfort Suspension เพื่อสุนทรีย์แห่งการเดินทาง พร้อมตัวช่วยด้านความความปลอดภัยและสะดวกสบาย นอกจากที่กล่าวไว้ยังมี ระบบเบรก ABS ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังค์ชั่น Hold ระบบรักษาความ เร็วอัตโนมัติ Cruise Control และจำกัดความเร็วอัตโนมัติ Speed Limit
เข้าสู่ช่วงทดลองขับ ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับในช่วงโควิดกำลังระบาดหนัก เส้นทางที่ใช้ในการทดสอบจึงใช้ระยะทางรวมประมาณ 100 กม.
สิ่งที่สัมผัสได้แต่แรกนั่นคือความกว้างขวางของห้องโดยสาร และอีกเรื่องที่แปลกไปนั่นคือแป้นคันเร่งและแป้นเบรก ปกติ Mercedes Benz จะติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ที่พื้น อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยุโรปมานานนม แต่คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นห้อยจากใต้คอนโซลแบบรถญี่ปุ่นทั่วไป
ในส่วนของเบาะนั่งที่ตรงกลางเป็นแบบกำมะหยี่ จะช่วยให้สรีระร่างกายได้กระชับกับเบาะ ซึ่งจะไม่ฟิกแบบบักเกตซีท และมีระบบดันหลังอัตโนมัติ Lumbar Support ซึ่งช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทาง แต่ติดนิดหน่อยในส่วนของประตูหลังที่ค่อนข้างเล็ก ทำให้คนตัวใหญ่เข้านอกออกในได้ค่อนข้างลำบาก
งานประกอบของบ้านเรายังคงไว้ใจได้เสมอ ซึ่งเป็นผลให้การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารนั้นทำได้ดีตามสไตล์รถยุโรป
ขุมพลังจึ๊ดจ๊าดพอตัว แม้จะเป็นบล็อกเล็กซึ่งมีความจุในพิกัด 1.3 ลิตร แต่ได้ระบบอัดอากาศเข้าไป ทำให้สามารถสร้างแรงม้าได้ถึง 163 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 ที่ 1,620 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบ 7 G Tronic อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม.อยู่ที่ 8.3 วินาที และอัตราสิ้นเปลืองตามอีโค่สติ๊กเกอร์อยู่ที่ประมาณ 15 กม./ลิตร
จริงๆแล้วเครื่องยนต์บล็อกนี้อาจมีขนาดเล็ก แต่ก็สามารถพารถครอสโอเวอร์เอสยูวีลอยตัวได้สบายๆ ในส่วนของโหมดการขับขี่ Dynamic Select ทำงานอย่างแตกต่าง และที่สุดคือ Sport เพราะจะมีไมโรโฟนที่ติดตั้งไว้ในห้องเครื่องยนต์ ส่งเสียงแผดก้องในรูปแบบเสียงสังเคราะห์ เพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี
ระบบช่วงล่างได้ปรับเซทโช๊คอัพ Lowered Comfort Suspension ที่ให้ความนุ่มนวล เหมาะกับการเดินทางไกล แต่หากอยากซื่ง อาจจะนุ่มไปเล็กน้อย แต่ระบบเบรกก็ยังเชื่อใจได้ เพราะมีระบบเสริมแรงดันเบรก ในกรณีฉุกเฉิน ไม่ต้องออกแรงมาก รถก็จะหยุดนิ่งได้อย่างมั่นใจ
โดยรวมแล้วถือว่า Mercedes Benz GLA 200 AMG Dynamic เป็นเอสยูวีครอสโอเวอร์ที่เหมาะกับการใช้งานในเมืองซึ่งมาจากความอเนกประสงค์ของตัวรถ แต่จะเอาไปลุยบนเส้นทางสมบุกสมบันคงจะไม่ไหว เนื่องจากไม่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และตัวช่วยการขับขี่จะมีก็เพียงแต่ระบบควบคุมความเร็ว และ รบบบจำกัดความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งควรจะมีตัวช่วยอย่างอื่นอาทิ ตัวเตือนออกนอกช่องทาง หรือ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันตามรถคันหน้า หรือแม้แต่ระบบเปิดฝาท้ายอัตโนมัติ ก็ยังไม่มีมาให้
แต่สิ่งที่ผู้ผลิตได้ให้มานั้นก็ถือว่ามากมาย ในส่วนเครื่องยนต์ไม่ได้ด้อยไปจากเครื่องยนต์ไซส์ใหญ่ จอแสดงผลที่ทันสมัยอีก 2 จอ รวมถึงการตกแต่งภายในที่หรูหรา และโหมดการขับขี่ที่สั่งได้ตามใจต้องการ ก็พอจะหักล้างกับสิ่งที่หายไปได้ ในราคาค่าตัว 2.399 ล้านบาทก็ต้องบอกว่าพอฟัดพอเหวี่ยง
เปรียบเทียบคู่แข่ง!!!
คู่แข่งตรงรุ่นอย่าง BMW X1 SDrive 20d ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่เช่นเดียวกัน โดยเน้นไปที่ชุดกระจัง โคมไฟ และ ชุดแอโรพาร์ทให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารจะเน้นไปทางสปอร์ต จอกลางขยายจาก 8 นิ้วเป็น 10.25 นิ้ว แต่ชุดมาตรวัดยังคงเป็นแบบทรงกลมซึ่งเพิ่ม Head Up Display และฟีเจอร์ที่ให้มาก็ใกล้เคียงกัน
ขุมพลังแรงกว่า ในรูปแบบของเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronoc 8 จังหวะ ซึ่งเครื่องยนต์บล๊อคนี้ก็เป็นเครื่องยนต์มหาชนเช่นเดียวกัน เพราะเป้นขุมพลังที่ใช้ใน Series 3, X3 และ X5
ระบบช่วงล่างของ BMW X1 จะให้อารมณ์ไปทางสปอร์ตมากกว่า Mercedes Benz GLA 200 AMG Dynamic ซึ่งปรับแต่งมาเพื่อความนุ่มนวล
BMW X1 SDrive 20d มีราคาค่าตัว 2.559 ล้านบาท หากเทียบกับ Mercedes GLA 200 AMG Dynamic ซึ่งตั้งราคาไว้เพียง 2.399 ล้านบาท อาจตกเป็นรองเพียงแค่ขุมพลัง เพราะ BMW X1 SDrive 20D ได้รับการติดตั้งขุมพลังที่ขับสนุกและรวดเร็วทันใจ แต่ก็ได้มาซึ่งอัตราบริโภคเชื้อเพลิงที่ให้ความประหยัดกว่า ทีนี้ต้องมาชั่งใจกันดูว่ารถรุ่นไหนเหมาะกับสไตล์ของตัวคุณ