ชื่อเสียงของ Mazda ที่โด่งดังทำยอดขายเติบโตในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่ทำยอดขายเติบโตเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน แต่เป็นเพราะความมุ่งมั่นของวิศวกรยานยนต์ของ มาสด้าที่ขยันพัฒนายานยนต์ของเขาให้มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่ชัดเจน
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การพัฒนารถสปอร์ตโรดสเตอร์ของเขา ภายใต้รหัส MX-5 ที่เป็นตำนานไปแล้ว ในฐานะรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลก (บันทึกครั้งแรกใน Guinness World Record ปี 2000 เมื่อผ่านการทำยอดขายที่ 531,890 คัน จากนั้น MX-5 ได้ทำสถิติให้บันทึกใหม่ต่อเนื่อง จนถึงยอดผลิตออกจำหน่ายที่ 900,000 คันในปี 2011และยังไม่มีรถสปอร์ตโรดสเตอร์รายอื่นทำยอดขายได้ใกล้เคียง MX-5 จนถึงปัจจุบัน) และตำนานนั้นก็ยังไม่ถูกปิด
จนวันนี้ MX -5 เดินหน้ามาถึง เจเนอเรชั่นที่ 4 พร้อมกับ เทคโนโลยี่ Skyactiv และ เส้นสายจากแนวทาง KODO Design ทำให้ MX-5 มีความสวยงามและความทันสมัยของเทคโนโลยี่ใหม่ล่าสุดเท่าที่จะทำให้ โรดสเตอร์ คันนี้ถึงพร้อมทั้งความสวยงามและการขับขี่ที่สนุกในแบบ ซูม ซูม ของ Mazda
ผมได้มานั่งหลังพวงมาลัย MX-5 อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยทำความรู้จักกันแล้วเมื่อครั้งที่เปิดตัวครั้งแรกและมีโอกาสได้สัมผัส MX-5 ในสนามทดสอบ Mine (อ่านว่า มิเน่) ของมาสด้าที่ ญี่ปุ่นเมื่อปลายปี2015 ครั้งนั้นเป็นการทดลองขับในสนามทดสอบที่เป็นสนามแข่งรถมาก่อน ช่วงเวลานั้นผมถ่ายทอดความรู้สึกประทับใจกับ MX-5 ไว้ว่า เป็นรถที่ขับสนุกมากเท่าที่เราต้องการความสนุกจากรถสปอร์ตคันหนึ่ง
3 ปีเศษผ่านมา ครั้งนี้ได้ทำความรู้จักกันอีกครั้ง คราวนี้ MX-5 มาในรูปแบบที่มีรหัสต่อท้าย RF (Retractable Fastback) พร้อมๆกับวาระอายุของ MX-5 ที่เต็มเปี่ยม 30 ปีพอดี นับต่อเนื่องจาก MX-5 รหัส NA เปิดตัวในปี 1989 มาจนถึงรุ่นปัจจุบัน รหัส ND หรือรุ่นที่ 4 นี้และครั้งนี้เป็นการขับ On Road ครั้งแรก บนเส้นทางจากกรุงเทพไปกาญจนบุรี
โดยกายภาพของ MX-5 นั้นมีองค์ประกอบที่ทำให้เป็นรถสปอร์ตที่มีเสน่ห์สุดๆอยู่หลายประการ เริ่มตั้งแต่แนวคิดออกแบบตามแนวทาง KODO Design ที่สร้างสรรค์ให้เส้นสายของรถนั้นดูพลิ้วไหวแม้จะจอดอยู่นิ่งๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสายตาคนจะมอง สำหรับผมมองว่า มันมีความลงตัว โฉบเฉี่ยวตั้งแต่ไฟหน้าเป็นต้นไปจนเมื่อมาได้หลังคาแข็งแบบ Retractable Fastback ที่สามารถเปิดประทุนออกมาจัดเก็บไว้ด้านท้ายได้รวดเร็วที่สุดในโลกเพียง 13 วินาที ยิ่งดูเท่มากๆ
ลักษณะของหลังคาแข็งนี้เมื่อเปิดประทุนเก็บแล้วจะไม่เหมือนกับ รุ่นหลังคาผ้าใบที่เปิดตัวนำมาก่อนหน้านี้ คือเมื่อเปิดประทุนผ้าใบแล้วจะเก็บหลังคาผ้าใบทั้งหมดไว้ด้านหลัง แต่สำหรับ RF จะเก็บเฉพาะหลังคา ส่วนของเสา B ยังคงอยู่ ในรูปแบบนี้จะเคยเห็นมาแล้วในรถสปอร์ต Porsche ซึ่งเขาจะเรียกรถสปอร์ตของเขาว่า Targa นั่นเอง แต่ RF ของ MX-5 นั้นก็เป็นสเน่ห์ที่สวยสุดๆของ เขาโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกันกับใคร
มาถึงภายในห้องโดยสารแบบ 2 ที่นั่งนั้นก็รับอิทธิพลมาจาก KODO Design มีความเป็นร่วมสมัยกับ Mazda ในเจเนอเรนชั่นเดียวกันเต็มรูปแบบ แต่ตำแหน่งนั่งของผู้ขับนั้นเบาะนั่งมีความโอบกระชับ วางในตำแหน่งที่ต่ำ ขาจะเหยียดตรงกว่า รถนั่งรุ่นอื่น แป้นเบรกจะอยู่ตรงกึ่งกลางตรงกับพวงมาลัย เมื่อปรับตำแหน่งนั่งให้เข้ากับตัวเองแล้วจะอยู่ตรงกลางตัวผู้ขับพอดี คันที่ผมได้ขับนี้เป็นแบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ไม่ได้ขับรถเกียร์ธรรมดามานาน แต่ก็บอกเลยว่ารถสปอร์ตเอาให้สนุกสุดๆมันก็ต้องเกียร์ธรรมดานี่ละครับ
ระบบอำนวยความสะดวกก็มากันแบบครบครันเช่นเดียวกัน
- ทั้งระบบ i-ACTIVSENSE ครบชุด
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
- กล้องมองหลังแสดงภาพบนจอขนาด 7 นิ้วกลางคอนโซลหน้าเมื่อเข้าเกียร์ถอย
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ (SCBS)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (SCBS-R)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAA)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS) และ
- ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (ALH) ปรับสูง-ต่ำ แยกอิสระ ซ้าย-ขวา โดยอัตโนมัติ
ผมขับ MX-5 RF ด้วยอารมณ์ที่หวนอดีตไปสมัยรุ่นๆขับ Mazda 323 คิดว่าจะเอาอารมณ์ขับเกียร์ธรรมดามาใช้ แต่มันก็ช่างต่างกันลิบลับ เพราะพัฒนาการที่เปลี่ยนไปตามระยะเวลากว่า 20 ปีนั้น แน่นอนว่ามีเพียงต้องเหยียบคลัทช์เข้าเกียร์เท่านั้นที่เหมือนกัน MX-5 มีร่องเกียร์ที่สั้นกระชับเข้าง่าย คลัทช์ไม่หนัก จังหวะ Shief Up-Down ทำได้คล่องตัวไม่หลงเกียร์ง่ายๆ
มีตำแหน่งเกียร์บอกที่หน้าปัด พร้อมบอกด้วยสัญลักษณ์ว่าควรจะเปลี่ยนเกียร์ต่อไปที่ตำแหน่งไหน เช่น ขณะใช้เกียร์ 3 ลากรอบขึ้นไปสูงกว่า 4000 รอบตอ่นาที หน้าจอจะแสดงเลข 3 และมีลูกศรชี้ไป 5 ได้ สนุกครับกับการเล่นเกียร์ในจังหวะต่างๆ
เครื่องยนต์ 2000 ซีซี บล็อกตัวเก่ง 184 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดที่ 205 นิวตันเมตร ทำหน้าที่ผลิต กำลัง และอัตราเร่งออกมาให้ใช้ได้ตามที่ต้องการทุกจังหวะ ถึงแม้จะไม่ใช้รถสปอร์ตที่จะแรงระดับซูเปอร์คาร์ แต่ก็เพียงพอที่จะทำความเร้าใจให้ได้ไม่น้อยทีเดียว
ที่ชอบมากคือ Handling ของรถสปอร์ตโรดสเตอร์ คันนี้ ทฤษฎีของ มาสด้าเรียกว่า จินบะ-อิตไต (Jinba-ittai) ที่บอกว่าทำรถให้เป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้ขับกับรถ เหมือนกับ คนขี่ม้า แต่ถ้าจินตนาการไม่ออก ผมจะให้นึกถึงการขี่จักรยานครับ คือจะเลี้ยวจะเร่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราและเราคุมได้ทุกสถานการณ์ ถ้าขี่จักรยานยานเป็นนะครับ
MX-5 ก็เป็นเช่นนั้นคือคุมทุกอย่างไว้ได้ด้วยตัวเอง อาการของรถนั้นจะไม่หนึบแน่น ทรงตัวนุ่มนวลชวนฝันมากเกินไป ความที่เป็นรถเครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง มันจะมีอาการโอเวอร์สเตียร์บ้างถ้าเข้าโค้งแรงๆ แต่ก็แก้ออกง่ายๆ อย่างที่บอกละครับ เหมือนขี่จักรยาน ขี่เป็นก็ไม่มีล้ม MX-5 ขี่เป็นแล้วจะสนุกและตรงนี้นี่เองที่เป็นจุดเด่นของรถสปอร์ตขับสนุกคันนี้
นั่นคือทั้งหมดที่ได้จาก MX-5 เกียร์ธรรมดา แต่ก็มีเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเช่นเดียวกันให้เลือกด้วย ในราคาที่เท่ากัน 2,890,000 บาท
ท้ายบทความขอบอกว่าปีนี้ MX-5 เขาฉลองครบรอบ 30 ปี มี Limited Edition แบบ RF ออกมาให้แฟนน้ำลายไหลกันด้วยมีความสวยด้วยสีพิเศษส้มเฉพาะตัว มีอักษรระบุฉลอง 30 ปี เบาะนั่ง Recaro ชุดเบรก Brembo ชอคอัพ Bilstein เป็นต้น ผลิตมาเพียง 3000 คัน
ได้ยินว่า บ้านเราได้โควตามาเพียง 12 คัน ในราคา 3,100,000 บาท ไม่แน่ใจว่าหมดแล้วหรือยัง หรืออาจจะถึงมือแฟนๆเพราะดีเลอร์จองไปเก็บไว้เองแล้ว เรื่องนี้ต้องติดต่อสอบถามกันดูเองครับ
ภูวนาถ เผ่าจินดา