เกรท วอลล์ มอเตอร์ ฉลองครบรอบ 1 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เผยความสำเร็จในการปลุกกระแสยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยยอดขายเกือบกว่า 4,000 คัน ช่องทางการจัดจำหน่าย 30 แห่ง และจำนวนผู้ดาวน์โหลดและใช้งาน GWM แอปพลิเคชันกว่า 50,000 ราย ในช่วง 6 เดือนในปีที่ผ่านมา ประกาศเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ พร้อมตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภคชาวไทย และเติมเต็มระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าของไทยด้วยกลยุทธ์ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านผลิตภัณฑ์ 2) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย 3) ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า และ 4) ด้านประสบการณ์ลูกค้า พร้อมปรับโฉมโลโก้ใหม่ ดีไซน์ล้ำสมัย สะท้อนภาพลักษณ์บริษัทเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลกที่มีความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคและคนรุ่นใหม่มากขึ้น ตอกย้ำการก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เข้ามามีส่วนร่วมสร้างประสบการณ์และความทรงจำดีๆ มากมายร่วมกับผู้บริโภคชาวไทย ด้วยวิสัยทัศน์เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะในรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทางของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น เกรท วอลล์ มอเตอร์ จึงเน้นให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของผู้บริโภคอย่างจริงจัง นำมาสู่การเปิดตัวรถยนต์ 3 รุ่น ซึ่งล้วนได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากแฟนๆ ชาวไทย ประเดิมด้วย HAVAL H6 Hybrid SUV ที่ครองยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์คอมแพคเอสยูวีถึง 3 เดือนซ้อนและยังคงครองความเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ในเซ็กเมนต์นี้ ตามด้วยเจ้าเหมียวไฟฟ้า ORA Good Cat ที่มียอดจองล้นหลามทะลุ 10,000 คันภายใน 7 วันหลังเปิดจองสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อซื้อและยังก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของไทยทันทีที่มีการส่งมอบ รวมไปถึง All New HAVAL JOLION Hybrid SUV ที่เข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์เอสยูวี บี และยังคงได้รับยอดสั่งจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดหนึ่งปีมานี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ส่งมอบรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นให้กับผู้บริโภคชาวไทยไปแล้วรวมทั้งสิ้นเกือบกว่า 4,000 คัน
มร. เอลเลียต จาง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดหนึ่งปีมานี้ เราได้มีโอกาสต้อนรับสมาชิกชาวไทยเกือบกว่า 4,000 ครอบครัว เข้าสู่ครอบครัว เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีผู้ดาวน์โหลดและใช้งาน GWM แอปพลิเคชัน กว่า 50,214 ราย มีเครือข่ายช่องทางจำหน่ายที่ขยายครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ รวมกว่า 30 แห่ง ซึ่งมีผู้บริโภคเข้าเยี่ยมชมรวมกันมากกว่า 75,000 ราย ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยทุกท่านสำหรับความไว้วางใจและความสนับสนุนที่มอบให้เกรท วอลล์ มอเตอร์ มาโดยตลอด และขอขอบคุณพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และทีมงานทุกคน สำหรับความเชื่อมั่นและความทุ่มเทอย่างเต็มที่เสมอมา จนทำให้เราสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งจนถึงวันนี้”
“นอกจากยานยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะแล้ว การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอยู่เสมอ โดยเราได้เปิดตัวกลยุทธ์ “Four-dimensional One” ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายการบริการที่ผสานการบริการลูกค้าทั้ง 4 รูปแบบ ทั้ง GWM Experience Center, GWM Direct Store, Partner Store และการเชื่อมต่อประสบการณ์ลูกค้าและการสื่อสารระหว่างแบรนด์ของเรากับผู้ใช้ในรูปแบบ Online-to-Offline (O2O) ผ่านทางโทรศัพท์มือถือและ GWM แอปพลิเคชัน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด หรือ Satisfaction + 1 ให้แก่ลูกค้า และในปี 2565 นี้ เรายังคงเดินหน้าขยายการดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ 4+4 เพื่อรุกตลาดในภูมิภาคอาเซียน โดยประเทศไทยจะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียนของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ พร้อมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยและโรงงานที่จังหวัดระยองเป็นศูนย์กลางของยานยนต์ไฟฟ้าและฐานการผลิตของภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ โดยในปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ เข้าไปดำเนินงานอย่างเป็นทางการใน 4 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา และบรูไน เรามีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์ในอีก 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เพื่อขยายตลาดในอาเซียนให้ครอบคลุมมากขึ้น โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยังคงเดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นครั้งแรกของโลกอย่างต่อเนื่องในตลาดประเทศไทย ดั่งเช่นในปี 2564 ที่ผ่านมา”
มร. เอลเลียต ยังเสริมว่า “ความสำเร็จของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังสะท้อนถึงความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยในด้านยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนต่อสังคม ซึ่งเกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่สัญชาติจีนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก การันตีด้วยยอดขายทั่วโลกมากกว่า 1.28 ล้านคันในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 15.2% จากปีก่อนหน้า และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยยอดขายมากกว่า 1 ล้านคันเป็นเวลา 6 ปีติดต่อกัน โดยเป็นยอดขายยานยนต์พลังงานใหม่ถึง 137,000 คัน พร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์กว่า 30 ปี และประสบการณ์ด้านการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอัจฉริยะอีกกว่า 10 ปี มาใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพ พร้อมยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าให้กับผู้บริโภคชาวไทย เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน”
นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในก้าวย่างสู่ปีที่ 2 เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคชาวไทย เพื่อก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมทั้งสร้างสังคมยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ดังนั้น แนวทางการดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สำหรับปี 2565 นี้ เราจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญใน 4 ด้านเป็นพิเศษ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า และด้านประสบการณ์ลูกค้า”
- ด้านผลิตภัณฑ์: ภายใต้ภารกิจ Mission 9 in 3 ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศจะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 9 รุ่นมาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดภายใน 3 ปี สำหรับในปี 2565 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยกทัพรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอีก 5 รุ่น จาก 3 แบรนด์ โดยหนึ่งในนั้นได้แก่ All New HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV จากแบรนด์ HAVAL ที่เคยเผยโฉมครั้งแรกของโลกในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และรถยนต์อีก 2 รุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% จากแบรนด์ ORA ที่จะเข้ามาสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนๆ ชาวไทย รวมถึงเป็นการตอบรับกับนโยบายการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากทางภาครัฐอีกด้วย ส่วนอีก 2 รุ่นจะมีการเปิดเผยรายละเอียดให้ทราบต่อไป ซึ่งรถทั้งหมดที่จะทำการเปิดตัวในปีนี้ จะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น
- ด้านช่องทางจำหน่าย: เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะขยาย GWM Store ทั้งที่เป็น Direct Store และ Partner Store เพิ่มขึ้นอีก 50 แห่ง รวมเป็น 80 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ของประเทศ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและรองรับกับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า: เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จฯ ให้ได้ 55 แห่ง ภายในปี 2565 เพื่อสร้างระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
- G-Charge Supercharging Station สถานีชาร์จขนาดใหญ่ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ดำเนินการเอง โดยล่าสุดได้เปิด G-Charge Supercharging Station แห่งแรก ณ สยามสแควร์ ให้บริการชาร์จเร็วด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ DC จำนวน 3 เครื่องชาร์จ หัวชาร์จแบบ CCS Type 2 เครื่องละ 2 หัวจ่าย รวม 6 หัวจ่าย กำลังสูงสุดขนาด 160kW รองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้พร้อมกันถึง 6 ช่องจอด โดยสถานีแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบ DC ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ
- Partner DC Charging Station เราจะร่วมมือกับ Partner Store ของเราในการติดตั้งจุดชาร์จแบบชาร์จเร็ว (DC Charge) ในกรุงเทพและจังหวัดสำคัญต่างๆ โดยลูกค้าสามารถใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
- Destination Charging Station โดยจับมือกับพันธมิตรในการขยายจุดชาร์จตามโรงแรม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าตามสถานที่ไลฟ์สไตล์ต่างๆ
“ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นอีกหนึ่งกำลังในการสร้างระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ดังนั้น สถานีชาร์จของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ทุกแห่งยินดีให้บริการกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทและทุกแบรนด์ พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วัน ผ่าน GWM Application ไม่เพียงเท่านี้ เรายังมีแผนที่จะสร้าง (Emergency Mobile EV Charging Unit) หรือรถบริการเคลื่อนที่ในการชาร์จไฟฉุกเฉินให้กับลูกค้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยกับบริการนี้ เพื่อลดความกังวลในการใช้งานของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วย” นายณรงค์ อธิบายเพิ่มเติม
- ด้านประสบการณ์ลูกค้า: ภายใต้แนวทางดำเนินงานโดยเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (User-Centric) เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้งเป้ายกระดับประสบการณ์ลูกค้าในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น การจัดกิจกรรมกับลูกค้าที่ GWM Experience Center อย่างน้อย 200 กิจกรรมตลอดทั้งปี การทำโรดโชว์ตามที่ต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น การอัปเกรดเว็บไซต์โดยนำเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อรถและค้นหาข้อมูลต่างๆ การพัฒนา GWM แอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มความสะดวกในด้านบริการหลังการขาย ซึ่งรวมถึงการนำข้อมูลของสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) การไฟฟ้านครหลวง (MEA) และผู้ประกอบการเอกชนด้านสถานีชาร์จอื่นๆ ให้ครอบคลุมถึง 80% ของสถานีชาร์จสาธารณะที่มีอยู่ในขณะนี้มาไว้ในแอปฯ ตลอดจนการจับมือกับหลากหลายแบรนด์ชั้นนำเพื่อผสานความแข็งแกร่งในการส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้ผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ เกรท วอลล์ มอเตอร์
ไม่เพียงเท่านี้ เพื่อตอกย้ำความตั้งใจที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเคียงข้างร่วมไปกับผู้บริโภค เกรท วอลล์ มอเตอร์ จึงได้ปรับโฉมอัตลักษณ์แบรนด์ พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ที่มีความโดดเด่น เป็นสากล และสื่อถึงความเป็นกันเองกับผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยดีไซน์ “G” สไตล์โมเดิร์นสองตัวประกบเข้าหากันอย่างสมมาตร แสดงถึงความสัมพันธ์ที่สมดุลเท่าเทียมกันระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบ การเปิดกว้างอย่างไร้พรมแดน และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของเกรท วอลล์ มอเตอร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
มร. สตีเว่น หวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้งใจรับฟังเสียงความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมายกระดับการทำงานและการให้บริการของเราในทุกมิติ ปัจจุบัน เรามีแฟนๆ ชาวไทยเกือบ 500,000 คนที่ติดตามเราอย่างเหนียวแน่นผ่านทางโซเชียลมีเดียของเรา ทั้ง Facebook TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ รวมถึงใน GWM แอปพลิเคชันของเรา เรียกได้ว่าผู้บริโภครวมถึงเจ้าของรถเกรท วอลล์ มอเตอร์ คือคนพิเศษที่เป็นเสมือนพลังที่ทำให้เราเติบโตต่อไปได้ การปรับโฉมอัตลักษณ์แบรนด์ในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการทำวิจัยและสำรวจผู้บริโภคในเชิงลึก และทำให้เราได้เห็นโอกาสในการที่จะสื่อสารพันธสัญญาที่เรามีต่อผู้บริโภคและเป้าหมายที่จะบรรลุร่วมกันในอนาคตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยเกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเริ่มนำโลโก้ใหม่นี้ไปใช้ใน GWM Store รวมถึงตามกิจกรรมสื่อสารการตลาดต่างๆ ของแบรนด์ เพื่อสื่อถึงความเป็นเพื่อนคู่ใจที่พร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้คนไทยตลอดเส้นทาง”
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Intelligent Technology Company) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยโดยจะยังคงมุ่งมั่นรับฟังเสียงผู้บริโภค และพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมตอบโจทย์ทุกความต้องการ และเคียงข้างเติบโตไปด้วยกันกับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคม เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน