บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย นำเสนอแพ็คคู่เบนท์ลีย์ ‘S’ อัครยนตรกรรมสไตล์สปอร์ตพร้อมส่งมอบให้ผู้ที่สนใจได้เลือกครอบครองไม่ว่าจะเป็น Flying Spur S Hybrid หรือ Bentayga S Hybrid ซึ่งทั้ง 2 รุ่นโดดเด่นด้วยการตกแต่งสไตล์สปอร์ตที่โฉบเฉี่ยว-ดุดันทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจด้วยขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น V6 แบบไฮบริด ตอบโจทย์ผู้ที่รักความหรูหราแต่ยังมีใจรักความเร็ว ชื่นชอบในความสปอร์ต โดย เอเอเอสฯ พร้อมส่งมอบ Flying Spur S Hybrid และ Bentayga S Hybrid สำหรับผู้ที่สนใจพร้อมด้วยแคมเปญเด่นส่งท้ายปีกับ ‘Bespoke Your Extraordinary Offers’ ที่จะทำให้การตัดสินใจเป็นเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์เป็นเรื่องง่าย
สำหรับจุดเด่นของรุ่น ‘S’ คือ การตกแต่งสไตล์สปอร์ตที่แฝงไปด้วยความหรูหราตามแบบฉบับของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์อย่างการตกแต่งด้วยชุดแต่ง Blackline Specification อันเคร่งขรึมที่มีการใช้เฉดสีดำแทนที่โลหะขัดเงาสำหรับการตกแต่งภายนอกทั้งหมด อาทิ กาบบันได กระจกมองข้าง กระจังหน้า และสเกิร์ตข้าง พร้อมกับกันชนหน้าแบบรุ่น ‘Speed’ และล้ออัลลอยด์ดีไซน์พิเศษ
ในส่วนของ Flying Spur S Hybrid จะให้ภาพลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่งแต่เรียบหรูด้วยกระจังหน้าและกันชนล่างสีดำ-เงา ไฟหน้าและไฟท้ายสีเข้ม ปลายท่อไอเสียสีดำทรงสี่เหลี่ยม และโลโก้รูปตัว ‘S’ ที่บังโคลนหน้า พร้อมกับโลโก้เบนท์ลีย์บนฝากระโปรงหลังที่โดดเด่นด้วยพื้นผิวโครเมียมโทนสว่าง และตกแต่งด้วยล้ออัลลอยด์แบบใหม่ขนาด 21 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต 5 ซี่ พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงขนาดมาตรฐาน ตอกย้ำเอกลักษณ์ของสปอร์ตซีดานรุ่น ‘S’ ได้เป็นอย่างดี
Bentayga S Hybrid มาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ดีไซน์รูปตัว ‘S’ ขนาด 22 นิ้ว ดึงดูดสายตาด้วยโลหะขัดเงาตัดกับคาลิปเปอร์เบรกสีแดง ส่วนท้ายแต่งด้วยสปอยเลอร์แบบ Speed-style ไฟท้ายสีเข้ม และ ท่อไอเสียแบบวงรีเฉดสีดำ ซึ่งการตกแต่งที่โฉบเฉี่ยวและดุดันได้เติมเต็มความสปอร์ตให้กับอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์รุ่น ‘S’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ภายในห้องโดยสารของ Bentayga S Hybrid ตกแต่งอย่างร่วมสมัยด้วยการผสมผสานระหว่างหนังที่ผ่านกรรมวิธีคัดสรรด้วยมือจากสัตว์กินพืชที่เลี้ยงดูอย่างดีบนที่ราบสูงเหนือระดับน้ำทะเลในทวีปยุโรปตอนเหนือ โดยหนังทั้งหมดที่ใช้ทำเบาะโดยสารจะปราศจากรอยแมลงสัตว์กัดต่อย ซึ่งอาจทิ้งรอยตำหนิไว้บนผืนหนัง มากไปกว่านั้น ผิวสัมผัสของกำมะหยี่ Dinamica ที่ใช้ในห้องโดยสารของรถแข่งมอเตอร์สปอร์ตยังได้ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างบรรยากาศความสปอร์ตภายในห้องโดยสาร สัมผัสพิเศษอีกประการหนึ่งคือการตกแต่งบริเวณคอนโซลหน้าและประตูห้องโดยสารด้วยวีเนียร์แบบ Piano Linen by Mulliner เฉดสีขาวนวล สไตล์เรียบหรู พร้อมกับวีเนียร์แบบ Piano Black ที่ใช้ตกแต่งบริเวณคอนโซลกลาง
Flying Spur S Hybrid ตกแต่งด้วยหนังที่เรียบลื่นและกำมะหยี่ Dinamica โดยใช้สำหรับการตกแต่งพวงมาลัยแบบปรับอุณหภูมิ คันเกียร์ เบาะรองนั่ง พนักพิงเบาะโดยสาร แผ่นรองประตู แผงหน้าปัด และรอบคอนโซล สัมผัสแห่งความสปอร์ตยังถูกนิยามผ่านเบาะโดยสารดีไซน์รูปตัว ‘S’ และ การปักโลโก้รูปตัว ‘S’ ที่พนักพิงศีรษะของเบาะโดยสาร เติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยการตกแต่งด้วยโลโก้รูปตัว ‘S’ แบบโลหะบริเวณช่องแอร์ และกาบประตูแบบเรืองแสง
นอกจากนี้ รุ่น ‘S’ ยังมาพร้อมกับมาตรวัดแบบดิจิทัลสำหรับผู้ขับขี่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งมอเตอร์สปอร์ตด้วยกราฟิกแบบเดียวกับ Continental GT Speed โดยมีแป้นควบคุมที่ออกแบบให้สื่อถึงสมรรถนะของตัวรถเช่นเดียวกับที่ใช้ในรุ่น ‘Speed’ พร้อมกับการเพิ่มมาตรวัดพลังงานไฟฟ้า
ในส่วนของสมรรถนะ Flying Spur S Hybrid มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินรุ่น V6 ขนาด 2.9 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้าขั้นสูง มอบพละกำลัง 536 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงด้วยแรงบิดกว่า 750 นิวตันเมตร โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4.3 วินาที และสามารถขับขี่ได้กว่า 41 กิโลเมตรสำหรับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำที่สุดในปัจจุบันเพียง 75 กรัม ต่อ กิโลเมตร (WLTP) Flying Spur S Hybrid จึงเป็นอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานที่สุดเท่าที่เคยมีมา
Bentayga S Hybrid มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินรุ่น V6 ขนาด 3.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รุ่นใหม่ ผลิตพละกำลังกว่า 456 แรงม้า มอบสมรรถนะในการขับขี่ที่โดดเด่นด้วยอัตราเร่ง 100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.3 วินาทีด้วยความเร็วสูงสุด 254 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงจากแรงบิดเต็มสูบด้วยประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้า
ผู้ครอบครองสามารถสัมผัสสมรรถนะความสปอร์ตจากขุมพลังของเครื่องยนต์แบบไฮบริดและเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การขับขี่ ตั้งแต่โหมดไฟฟ้าที่เงียบสนิท ปราศจากการปล่อยมลพิษไปจนถึงสมรรถนะการขับขี่ที่จะมอบประสบการณ์การเดินทางอันน่าประทับใจ ทั้งนี้ ตัวรถยังมีความสามารถในการขับขี่ที่ไกลขึ้นถึง 44 กิโลเมตรในโหมดไฟฟ้า (EV) แต่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการขับขี่อันเป็นจุดเด่นของรถยนต์เบนท์ลีย์
นอกจากสมรรถนะอันเหนือชั้น รุ่น ‘S’ Hybrid ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นในโหมด Sport ที่มีการพัฒนาเสียงในช่องเก็บเครื่องยนต์ V6 TFSI เพื่อเพิ่มอรรธรสความสปอร์ตในระหว่างการขับขี่ พร้อมกับความหน่วงในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น 15% ทำให้แชสซีมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยผู้ขับขี่สามารถปรับโหมด Sport ให้มีความไดนามิกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ท่อไอเสียจะให้เสียงที่เร้าใจภายในห้องโดยสาร
อีกหนึ่งความเหนือชั้น คือ เทคโนโลยี Bentley Dynamic Ride ที่สามารถใช้แรงบิดต้านการโคลงตัวของรถได้ถึง 1,300 นิวตันเมตรในเวลาเพียง 0.3 วินาที เพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวลและการเข้าโค้งที่มั่นใจยิ่งขึ้น และเทคโนโลยีบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นระบบมาตรฐาน โดยระหว่างการขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ระบบจะหมุนล้อหลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับด้านหน้าสูงสุด 4.2 องศา เพื่อลดวงเลี้ยวและเพิ่มความคล่องตัว แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้น ล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้าเพื่อเพิ่มความมั่นคงในระหว่างการเปลี่ยนเลนหรือแซง
สำหรับผู้ที่สนใจ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด พร้อมส่งมอบรถยนต์เบนท์ลีย์ทันทีไม่ว่าจะเป็นรุ่น Flying Spur Hybrid หรือ รุ่น Bentayga Hybrid กับสต๊อกเฉดสีและออปชันที่ครบครันและครอบคลุมทุกความต้องการกับราคาที่ดีที่สุด เริ่มต้นที่ 13.7 ล้านบาท พร้อมรับข้อเสนอเด่นส่งท้ายปีกับ ‘Bespoke Your Extraordinary Offers’ แคมเปญที่คุณสามารถออกแบบแผนการเงินเองได้และทำให้การตัดสินใจเป็นเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์เป็นเรื่องง่ายด้วยตัวเลือกมูลค่าส่วนลดที่ยากจะปฏิเสธ ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ หรือ การเพิ่มการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต นอกจากนี้ ผู้ถือบัตร ttb reserve ยังได้รับเอกสิทธิ์พิเศษจากธนาคารทหารไทยธนชาตกับคะแนนสะสมพิเศษ 200,000 คะแนน เมื่อจองรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกรุ่น ตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป
เอเอเอสฯ ยังมอบการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ ‘นานที่สุด’ ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) สำหรับรถยนต์แบบเครื่องยนต์ไฮบริด และการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต พร้อมมอบบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 3 ปีเต็ม