ก่อนหน้าการตัดสินรางวัลนี้ FORD ถือโอกาสเอาเวทีในงานมหกรรมยานยนต์ MOTOR EXPO ที่จัดขึ้นเมื่อปลายปี เปิดตัวยนตรกรรมใหม่ในโมเดลปี 2016 กับรุ่น FORD EVEREST 3.2 TITANIAM PLUS และ RANGER 3.2 WILDTRAK ซึ่งได้รับการติดตั้ง 5 ฟีเจอร์เด็ดที่เป็นประโยชน์ในด้านความสะดวกสบาย ทั้งยังปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ในวันนี้กิจกรรมการทดลองฟังค์ชั่นใหม่ได้ดำเนินขึ้นเพื่อเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนารถยนต์มาตรฐานระดับโลกที่มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะเหนือระดับ เริ่มอยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า 5 ฟีเจอร์ใหม่ที่ผมพูดถึงนั้นมีอะไร และจะเด็ดสะระตี่ขนาดไหน www.autoworldthailand.com มีรายงาน
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่าภายนอกและภายในรวมถึงฟังค์ชั่นหลักของทั้ง FORD EVEREST 3.2 TITANIAM PLUS และ RANGER 3.2 WILDTRAK รุ่นปี 2016 ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอะไร ที่เพิ่มเติมและทำให้กิจกรรมการทดสอบในครั้งนี้เกิดขึ้นคือเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ฟอร์ดใช้ชื่อเรียกว่า ADVANCED DRIVING ASSIST TECHNOLOGY ซึ่งเป็นการรังสรรเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายไปกับ 5 ฟีเจอร์พิเศษ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ได้นำเอาระบบอัจฉริยะมาติดตั้งในรถพีพีวี และ กระบะ โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นจะมีก็แต่ในรถระดับราคามากกว่า 2-3 ล้านบาท ถือว่าเป็นความใจกว้างของทีมนักออกแบบและผู้บริหารที่อยากให้ผู้บริโภคได้ใช้ของดีและมีประโยชน์…มาดูกันเลยครับ
ADAPTIVE CRUISE CONTROL
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ
ระบบนี้ได้นำมาติดตั้งเพื่อลดความเร็วอัตโนมัติในการรักษาความห่างจากรถคันหน้าให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัย โดยใช้เรดาร์วัดระยะห่างระหว่างรถคันหน้าเริ่มต้นทำงานตั้งแต่ความเร็ว 30 กม./ชม. ตั้งค่าระบบตามการความเร็วที่ปรับเซท ผู้ขับขี่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งหรือเบรคตามคันหน้า หากรถคันหน้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ต่ำลง ระบบจะลดความเร็วลงอัตโนมัติเพื่อรักษาระยะห่างในระยะที่ปลอดภัย เมื่อคันหน้าเร่งความเร็ว ระบบจะเร่งความเร็วตามความคล่องตัวของสภาพการจราจรและกลับมาที่ความเร็วตามที่ได้ตั้งค่าไว้
LANE KEEPING SYSTEM
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
ช่วยให้รถอยู่ในช่องทางเหมาะสมในกรณีที่เผลอละมือจากพวงมาลัยและรถเบี่ยงออกนอกช่องทาง ระบบจะทำงานอัตโนมัติเพื่อหมุนพวงมาลัยกลับมาอยู่ในช่องทางซึ่งทำงานร่วมกับกล้องที่ติดตั้งบริเวณหน้ารถในการตรวจจับหาเส้นแบ่งถนน โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ขับขี่กำลังเบนรถออกจากเลนโดยตั้งใจหรือไม่ จากนั้นจึงประมวลผลจากกล้องเพื่อประเมินผ่านมุมและแรงบิดของพวงมาลัย หากตรวจพบว่าผู้ขับขี่กำลังเปลี่ยนเลนโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะทำหน้าที่ควบคุมพวงมาลัยเพื่อดึงรถกลับเข้าสู่เส้นทางเดิม หากรถยังคงเคลื่อนออกช่องทาง สัญญาณเตือนจะแจ้งไปยังผู้ขับขี่ด้วยวิธีการสั่นที่พวงมาลัย ซึ่งสามารถทำงานได้ในความเร็วเกิน 65 กม./ชม.และสามารถตั้งระดับการสั่นสะเทือนที่พวงมาลัยได้ วิธียกเลิกระบบเพียงแค่เปิดไฟเลี้ยวก่อนเบี่ยงช่องทาง เพียงเท่านี้ระบบก็จะตัดการทำงานทันที
FORWORD COLLISION WARNING SYSTEM
ระบบเตือนการชนด้านหน้า
ติดตั้งมาเพื่อป้องกันการชนที่ความเร็วสูงกว่า 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เรดาร์บริเวณหน้ารถวัดระยะห่างของรถกับวัตถุที่เคลื่อนที่อยู่ด้านหน้า ระบบจะทำการคำนวณเวลาก่อนชนหากได้ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ จะส่งสัญญาณเตือนพร้อมกระพริบไฟบนกระจกหน้าและแสดงข้อความเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูล กรณีที่ผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อสัญญาณเตือน ระบบจะตุนแรงเบรกเตรียมไว้และเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรคขนาด 0.3 กรัมเพื่อทำให้การหยุดรถมีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถหยุดรถได้อย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกหรือหลีกเลี่ยงโอกาสในการชน
DRIVER ALERT SYSTEM
ระบบแจ้งเตือนการขับขี่
ระบบดังกล่าวทำงานโดยใช้กล้องที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของกระจกมองหลัง ทำหน้าที่ระบุและบันทึกตำแหน่งช่องทางที่รถวิ่งอยู่ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ เริ่มทำงานในความเร็วเกิน 64 กม./ชม. หากระบบตรวจพบว่าผู้ขับขี่มีอาการเหนื่อยล้าจะทำการส่งสัญญาณเตือนไปที่หน้าจอแสดงข้อมูล เมื่อรถเคลื่อนตัวระบบจะคาดการณ์ตำแหน่งที่รถควรจะอยู่โดยอ้างอิงจากตำแหน่งของช่องทางที่มีการบันทึกไว้ จากนั้นจึงหาตำแหน่งที่แท้จริงของรถ
หากระบบตรวจพบว่ามีค่าความแตกต่างมากเกินไป จะทำการส่งสัญญาณเตือนบนหน้าจอควบคุม และถ้าผู้ขับขี่ยัไม่มีการตอบสนองก็จะแสดงสัญญาณที่หน้าจอแสดงข้อมูล เพื่อให้ทราบว่าควรหยุดพัก ขณะเดียวกันระบบจะไม่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนช่องทางเพื่อเร่งแซง เนื่องจากสามารถรับรู้ได้ว่าผู้ขับขี่บังคับรถออกนอกช่องทางโดยตั้งใจซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางนั่นเอง
Auto High Beam Control
ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ
ระบบนี้ใช้กล้องที่ติดตั้งอยู่หน้ารถตรวจสอบสภาวะต่างๆอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาประมวลผลว่าเมื่อใดต้องเปิดหรือปิดไฟสูงและต้องใช้งานในโหมดการเปิดไฟแบบอัตโนมัติเท่านั้น โดยจะทำงานที่ความเร็วสูงกว่า 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและทำงานในระยะไกลถึง 762 เมตร ซึ่งจะเปิดไฟสูงเมื่อเส้นทางนั้นมืดมากพอและไม่มีแสงไฟจากรถคันอื่นๆมาเป็นตัวแปร
กิจกรรมการทดลองฟีเจอร์ใหม่ได้จัดขึ้นบนทางระยะสั้นๆ จากกทม.-บางปะอิน เพื่อทดลอง 5 ฟีเจอร์ใหม่รวมถึงยังมีทดสอบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยที่มีมาก่อนหน้าในรถยนต์ซีดานรุ่นโฟกัและถูกนำมาติดตั้งในฟอร์ด เอเวอเรสต์ 3.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม พลัส รุ่นปี 2016 ได้แก่
Active Park Assist &
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
ช่วยให้การนำรถเข้าจอดเทียบข้างทำได้ง่ายดายด้วยการเหยียบคันเร่ง เข้าเกียร์ และเบรก โดยไม่จำเป็นต้องบังคับพวงมาลัย เซนเซอร์จะตรวจหาช่องว่างและควบคุมความเร็วให้อยู่ไม่เกิน 10 กม./ชม. จากนั้นจึงเริ่มเข้าจอดแบบอัตโนมัติ
Cross Traffic Alert & Blind Spot Information System
ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอดทำงานร่วมกับระบบตรวจจับรถในจุดบอด
ทำหน้าที่แจ้งเตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่มีรถคันอื่นอยู่ในจุดบอดหรือเมื่อมีรถตัดผ่านในขณะถอยออกจากซองจอด ช่วยให้การถอยรถออกจากช่องจอดได้เป็นได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันกับระบบตรวจจับรถในจุดบอด Blind Spot Information System ที่ทำงานร่วมกับกล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า
ทั้ง 5 ฟีเจอร์ใหม่ที่ฟอร์ดได้ติดตั้งมาในรถโมเดลปี 2016 ทั้ง 2 รุ่นนี้ ถือเป็นการเติมเต็มมาตรฐานของรถกระบะ และ พีพีวี ซึ่งในส่วนของคู่แข่งจากเซกเมนต์เดียวกันยังไม่มีนโยบายสักเท่าไหร่ ในส่วนของเทคโนโลยีนั่นอาจเป็นต่อ แต่เรื่องรองคือการบริการหลังการขาย แต่นโยบายใหม่จากผู้บริหารของทางค่ายที่เน้นไปในเรื่องของมาตรฐานการให้บริการคือ เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุด รวมถึงขยายศุนย์บริการให้มากขึ้นกว่าเดิมจากที่มีอยู่ทั่วประเทศทั้งหมดกว่า 140 แห่ง ทั้งนี้เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และงานบริการหลังการขาย
ในส่วนของราคาจำหน่ายหลังจากปรับโครงสร้างภาษี ฟอร์ด ประเทศไทย ยืนยันที่จะจำหน่ายในราคาเดิมจากที่เปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา FORD EVEREST 3.2 TITANIAM PLUS จำหน่ายในราคา 1,749,000 บาท และ RANGER3.2 WILDTRAK จำหน่ายในราคา 1,189,000 บาท