MG HS ถือเป็นเอสยูวีพรีเมี่ยมที่หลายคนจับตามอง มาพร้อมกับความสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งด้านการออกแบบ เทคโนโลยีที่อัดแน่นแบบจัดเต็ม ในขณะที่ขุมพลังกับสมรรถนะการขับขี่นั้นยังโดดเด่นไม่แพ้กัน สำหรับทดสอบในครั้งนี้ได้มีการสัมผัสกับหลากอรรถรสที่พอจะสังเขปได้ถึงความน่าสนใจผ่านระยะทางกว่า 200 กม. ซึ่งจะโดนใจคุณมากน้อยเท่าไหร่นั้น…ติดตามรับชมได้จากรายงาน
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เปิดตัวอย่างสุดว๊าวกับราคาค่าตัวเริ่มต้น 919,000 บาท และในรุ่นท๊อพหรือ Elegant ในราคา 1,119,000 บาท ถือว่าเป็นราคาที่คู่แข่งในคลาสเดียวกันถึงกับหงายเงิบกันเป็นแถบๆ เพราะนอกจากราคาสุดว๊าว วัสดุและเทคโนโลยีต่างๆที่มีอยู่ในรถคันนี้ยังสุดคุ้มอีกต่างๆ
MG HS มากับมิติตัวรถที่มีขนาดใหญ่ในสัดส่วนความยาว 4,574 มม. กว้าง 1,876 มม. และ สูง 1,664 มม. ในขณะที่มีระยะช่วงล้อยาวถึง 2,720 มม.
โดดเด่นด้วยกระจังหน้าดีไซน์หรูซึ่งดูคล้าย ZS แต่จะใหญ่กว่า ไฟหน้าเน้นการใช้งานจากแอลอีดีโปรเจคเตอร์ ที่มีไฟเลี้ยววิ่งแบบรถยุโรปและเดย์ไทม์ในโคมเดียวกัน พร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ Intelligent High-ในขณะที่ล้อแมกเป็นขนาด 18 นิ้ว
ไฟท้ายใช้แอลอีดีสีแดงสด พร้อมติดตั้งฝาท้ายแบบ Electric Tell Gauge เปิดได้ง่ายด้วยสวิตช์ควบคุมที่กุญแจ พร้อมติดตั้งท่อไอเสียคู่ ที่มุมกันชนหลังทั้งฝั่งซ้ายและขวา รวมถึงความโดดเด่นจากหลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่
ห้องโดยสารแต่งแบบทูโทนด้วยสีดำและแดงสดทั้งคอนโซลและแผงข้างรวมถึงเบาะนั่งที่ออกแบบมาในสไตล์บักเก็ทซีทหุ้มหนังเดินด้ายสีแดงและตกแต่งด้วยหนัง Alcantara แบบเดียวกับรถหรูจากฝั่งยุโรป
ภายในหรูหราด้วย Amblient Light ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 เฉดสีและยังปรับตามโหมดการขับขี่ ทั้ง Eco Normal และ Super Sport mode และ โดยเน้นการใช้หลอดไฟแอลอีดีเป็นตัวให้แสงสว่างในหลายส่วนทั้งคอนโซลกลาง และแผงข้าง บริเวณมาตรวัดทันสมัยไปกับจอแสดงผล Interactive Multi-Function Display ขนาด 7 นิ้วที่แสดงผลของระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ซิสเต็ม และการทำงานของระบบ Advance Driver System ในรูปแบบของภาพกราฟฟิกสีสดใส
พวงมาลัยรูปทรงสปอร์ตแบบท้ายตัดหุ้มหนังเย็บด้ายแดง ติดตั้งระบบมัลติฟังค์ชั่นใช้สั่งการระบบต่างๆ ทั้งภาคบันเทิงและคำสั่งเสียงเพื่อควบคุมการเปิดปิดซันรูฟ ระบบปรับอากาศ ซึ่งมีปุ่มควบคุมโหมด Super Sport สีแดงสดแยกออกมาอย่างเด่นชัด
จอกลาง 10 นิ้วซึ่งอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น ใช้ในการแสดงผลระบบบันเทิง ส่วนเทคโนโลยี i-Smart ทั้ง Smart Command หรือการสั่งงานด้วยเสียง Smart Check ตรวจสอบสถานะของรถผ่านสมาร์ทโฟน Smart Connect อัพเดทเรื่องราวของความบันเทิงทั้งเพลง ข่าว ร้านอาหารดัง และล่าสุดในด้านการรายงานสภาพอากาศ รวมถึงสลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งยังแสดงผลของฟีเจอร์กล้อง Around View Camera เลือกมุมมองของภาพได้รอบคัน สามารถเลือกดูได้ทั้งแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมล่าสุด
เครื่องยนต์ที่ได้รับการติดตั้งมากับรถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาดความจุ 1,490 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้าที่ 5,600 รอบ พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 1,700-4,400 รอบ ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลาต่ำกว่า 10 วินาที และรองรับเชื้อเพลิงได้ถึง E85 ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตเคลมอัตราสิ้นเปลืองไว้ถึง 16.1 กม./ลิตร
ระบบเกียร์เป็นแบบ Twin Clutch Sportronic 7 Speed ซึ่งมีบวก/ลบ ที่คันเกียร์และเพิ่มเติมระบบแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย
ช่วงล่างระบบ Euro Tuning Suspension แบบอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าใช้เป็นแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง นอกจากนี้ระบบเบรกจะเป็นแบบดิสเบรกทั้ง 4 ล้อด้วยเช่นกัน
เอสยูวีพรีเมี่ยมคันนี้ยังจัดเต็มและอัดแน่นไปด้วยความปลอดภัย ทั้งระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) ที่แข็งแกร่งพร้อมติดตั้งถุงลมนิรภัย 6 จุดระบบความปลอดภัยเหนือระดับตามมาตรฐานยุโรป หรือ Advanced Synchronized Protection System มากถึง 25 ระบบ ประกอบด้วยอะไรนั้นเดี๋ยวมาพุดถึงตอนทดสอบครับ
การทดสอบสมรรถนะในครั้งนี้มีสถานการณ์ที่หลากหลาย ทั้งการใช้งานในเมืองและนอกเมือง รวมถึงมีการทดลองใช้งานตัวช่วยการขับขี่อีกเพียบตลอดระยะทางกว่า 200 กม. จากกทม.-เขาใหญ่
ถ้าจะให้วิจารณ์จากภายนอกและภายในคงไม่มีเหตุผลใดใดจะตำหนิ เพราะรถคันนี้ถือว่าเป็นการออกแบบที่งดงามสุด จะมีก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องระบบเปิดฝาท้ายด้วยเท้าในรูปแบบของ Kick Sensor ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งจะมีเพียงแต่ Eletric Tell Gauge แต่ในรุ่นลองลงมาสามารถสั่งซื้อได้ทุกโชว์รูมในราคาจำหน่ายที่เอื้อมถึง แต่ในอนาคตอาจจะได้รับการเสริมระบบนี้เข้ามาในรุ่นท๊อพเพื่อความเป็นที่สุด
อีกเรื่องนั้นคือจากเดิม เอสยุวีค่ายเอ็มจีดูเหมือนจะมีดีไซน์คล้ายกับตคนที่มีขาเล็ก ช่วงล่างเรียวบาง แต่สำหรับเอสยูวีคันนี้ งานออกแบบซุ้มล้อพร้อมขนาดวงล้อที่เรียกใช้นั่นยังพุดได้เต็มปากว่าลงตัวขึ้นเยอะ
มาถึงการทดลองตัวช่วยการขับขี่ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันอีกหลายๆระบบ ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ถ้าใช้งานทุกระบบที่กล่าวไว้ ผุ้ขับขี่จะทำหน้าที่เพียงประคองและควบคุมทิศทางการขับขี่เพียงอย่างเดียว
เนื่องจากเมื่อไหร่ก็ตามหากรถมีการเบนออกนอกเลน ทั้งระบบ LKA และ LDP ก็จะคอยควบคุมทิศทางให้อยู่กลางช่องทาง ในส่วนของ ACC จะใช้การติดตามรถคันหน้าและเว้นระยะห่างได้ 3 ระดับ ถ้าหากมีการชะลอตัว ระบบก็จะช่วยเบรกให้อัตโนมัติจนถึงหยุดนิ่ง ซึ่งถ้าหยุดไม่เกิน 3 วินาที ระบบก็จะสั่งการให้รถออกตัวตามคันข้างหน้า แต่หากหยุดเกิน 3 วินาที ระบบถึงจะยกเลิกการทำงาน และในส่วนของระบบ TJA ก็จะช่วยหยุดรถอัตโนมัติในช่วงการจราจรพลุกพล่าน หรือใช้ความเร็วระหว่าง 30-80 กม./ชม. นอกจากนี้ยังคงมี Auto Brake Hold ที่จะช่วยทำหน้าที่เหมือนเบรกมือเมื่อจอดสนิทและปลดล๊อคการทำงานง่ายๆเพียงเหยียบคันเร่ง
ทั้งนี้ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ยังให้ความอุ่นใจเมื่อต้องการเร่งแซงหรือมีรถด้านหลังเร่งแซงในระยะประชิด อีกทั้งระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) จึงเป็นส่วนช่วยให้เกิดความปลอดภัยสุงสุด
ขุมพลังเบนซินบล็อกเล็กแบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาดความจุเพียง 1.5 ลิตร เพิ่มระบบอัดอากาศด้วยเทอร์โบ ทำให้ได้แรงม้าสูงถึง 162 แรงม้า พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ตอบสนองความแรงในรุปแบบจัดจ้าน หากอยากขับให้สนุกเลือกปรับมาที่โหมด Sport หรือ Super Sport เสียงเครื่องยนต์จะคำราม รอบเครื่องจะเพิ่มให้อัตโนมัติเพื่อรอรับการกดคันเร่ง โดยเคลมไว้ว่าอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.นั้นทำได้ในเวลาตำกว่า 10 วินาที แต่หากอยากขับประหยัด ปรับเลือกในโหมด Eco การตอบสนองต่อความแรงจะถุกดรอปลง และจากอีโค่สติกเกอร์ที่ให้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันไว้ถึง 16.3 กม./ลิตร แถมยังรองรับ E 85 ได้อีกด้วย
แต่เมื่อต้องการใช้ความเร็ว อาจมีเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์สร้างความเร้าใจเพื่อกระตุ้นความตื่นตัวของผู้ขับขี่ แต่หากขับโหมดปกติ ถือว่างานประกอบและเสียงต่างๆนั้นเร้ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารน้อยมาก นอกจากนี้ยังเลือกขับสนุกได้กับแพดเดิลชิฟท์ และการปรับเปลี่ยนเกียร์แบบบวกลบ เพียงแต่ต้องใช้ M Mode ถึงจะสัมผัสได้กับความสนุก
การควบคุมรถทำได้แม่นยำ ช่วงฟรีของพวงมาลัยแทบสัมผัสไม่ได้ว่ามีช่วงฟรีแม้ว่าเป้นระบบพวงมาลัยไฟฟ้าก็ตาม ในส่วนของช่วงล่างดีไซน์สปอร์ตในรูปแบบของ Euro Tunning Suspention ยังคงเชื่อใจได้และให้ความสนุกตามแบบฉบับ ซึ่งยังมีตัวช่วยความปลอดภัยอย่าง ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) และ ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้รถพลิกคว่ำ ARP (Anti Rolling Program)
เมื่อถึงปลายทางตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ปรับเซ็ท Consumtion จากจุดปล่อยรถ มาถึงปลายทางที่เขาใหญ่ ตัวเลขแสดงอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ไม่เกิน 12 กม./ลิตร ในรูปแบบการขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตลอดเวลาแบบนี้ ถือว่าเป็นตัวเลขที่รับได้
บทสรุปกับ MG HS เอสยูวีพรีเมี่ยมที่มาพร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว ตัวช่วยการขับขี่ที่อัดแน่น และขุมพลังที่ขับสนุก เมื่อเปิดราคาในรูปแบบสุดว๊าว ผุ้ใดที่มองรถกลุ่มนี้คงเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งจากการสัมผัสนั้นต้องบอกว่าเป็นรถที่เพอร์เฟครุ่นหนึ่งซึ่งทำให้ MG นั้นต่อกรกับคู่แข่งที่อยู่ใมนคลาสเดียวกันได้อย่างสบายๆ เพียงแต่หากทำความเข้าใจกับระบบแพดเดิลชิฟท์และระบบ ACC ที่อาจจะทำงานไม่เหมือนของคู่แข่ง แต่ก็ใช่ว่าการสร้างความคุ้นเคยกับระบบนี้จะยากเกินความสามารถ