Nissan Almera 2020 ซีดานรุ่นล่าสุดที่ทำให้นิสสันยังคงย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มอีโค่คาร์ จากการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็ก อัดอากาศด้วยระบบเทอร์โบชาร์จ ให้สมรรถนะดี และยังคงความประหยัด โดยอีโค่สติกเกอร์ระบุไว้สูงถึง 23.3 กม./ลิตร แต่การทดสอบในครั้งนี้ไม่คาดหวังด้านตัวเลข เพราะเส้นทางจากภูเก็ต-พังงา-ภูเก็ต กว่า 200 กม.ที่ล้วนแต่เป็นทางขึ้น/ลง ภูเขา แต่ก็แอบมีเซอร์ไพรส์เล็กๆกับตัวเลขด้านความประหยัดที่แสดงไว้ที่ 20.0 กม./ลิตร นอกจากเรื่องประหยัด รถคันนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะ ติดตามรับชมกันได้เลยครับ
ทีมออกแบบจากนิสสันได้ดีไซน์ Nissan Almera 2020 ให้มีความใหม่ สด ในรูปแบบของ Eco Car กลุ่ม B-Segment แยกย่อยออกเป็น 5 รุ่น 6 สี ได้แก่รุ่น S E EL V และ VL ซึ่งเป็นรุ่นท๊อพ โดยตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 499,000 – 639,000 บาท ชูความโดดเด่น 3 เรื่องหลัก ทั้งดีไซน์ที่ดูพรีเมียม,ภายในเน้นความกว้างขวางสะดวกสบาย และขุมพลังปรับใหม่ทุกชิ้นส่วนเพื่อให้ได้มาซึ่งสมรรถนะและความประหยัด
สัดส่วนที่ได้รับการปรับแต่งใหม่มากับขนาดตัวรถที่ยาว 4,495 มม. กว้าง 1,740 มม. และสูง 1,460 มม. ซึ่งหากเทียบกับรุ่นเดิมจะยาวขึ้น 70 มม. กว้างขึ้น 45 มม.และเตี้ยลง 40 มม. ส่วนฐานล้อยาวขึ้นอีก 45 มม.
กระจังหน้าแบบ V-Motion ดูเหมือนจะเป็นต้นทางของ Family Look ของรถยนต์นิสสัน ซึ่งก่อนหน้ามีทั้ง X-Tral และ Leaf ที่ใช้กระจังรูปแบบนี้
ส่วนไฟส่องสว่างทั้งด้านหน้าและด้านท้ายจะเป็นแบบแอลอีดีในรุ่น V และ VL ส่วนรุ่นกลางจนถึงรุ่นล่างจะเป็นแบบฮาโลเจน
อีกหนึ่งความแตกต่างนั่นคือล้อแม็กเป็นขอบ 15 นิ้วหุ้มยางขนาด 195/65 จะมีอยู่ในรุ่น EL V และ VL ส่วนที่เหลือจะเป็นล้อกะทะพร้อมฝาครอบ เสาซีเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Leaf ซึ่งเป็นแบบ Floating Roof ลาดไปชนกับกระโปรงท้าย
กระจกหน้าของรถทุกรุ่นเป็นแบบ Acoustic Glass พร้อมเพิ่มฉนวนกันเสียงในทุกมิติรวมถึงใต้ฝากระโปรง และอุดด้วยโฟมบริเวณแก้มข้างเพื่อช่วยให้ห้องโดยสารเงียบขึ้น บนหลังคายกเลิกการใช้ครีบฉลาม โดยฝังเสาอากาศวิทยุไว้ในกระจะบานท้าย
ฝาท้ายเมื่อเปิดออกในส่วนของพื้นที่บรรทุกสัมภาระนั้นมีความกว้างเท่าเดิมคือ 950 มม. สูง 580 มม. ซึ่งหากเทียบกับรุ่นเดิมจะสูงขึ้นถึง 55 มม. และปรับขอบตัวถังภายในให้กว้างขึ้นทำให้ใส่กระเป่าเดินทางไซส์ใหญ่ได้ถึง 3 ใบ
ภายในกว้างกว่านุ่นเดิม 42 มม.ตกแต่งสีทูโทน สำหรับเบาะนั่งถูกปาดให้บางขึ้นพร้อมเสริมสปริงรองแผ่นหลังเพื่อลดอาการเมื่อยล้าในกรณีที่นั่งเป็นระยะเวลานานๆ ในส่วนของเบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับความสูงต่ำของเบาะรองนั่งซึ่งเป็นฟังค์ชั่นที่มีมากกว่ารุ่นที่แล้ว เบาะหลังก็ได้ปรับพนักพิงให้ลาดกว่ารุ่นเดิมและเพิ่มพื้นที่เหนือศรีษะได้อีก 8 มม. รวมถึงขยายความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 42 มม.
พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นสไตล์ D-Shape ปรับได้ถึง 4 ทิศทาง พร้อมติดตั้งระบบ Active Return Control เพื่อช่วยให้รถกลับคืนสู่ทางตรงได้เป็นธรรมชาติ
แดชบอร์ดในรุ่นล่างจนถึง EL เข็มวัดรอบเป็นแบบอนาลอค ส่วนรุ่น V และ VL แสดงการทำงานแบบดิจิตอลผ่าน TFT ขนาด 7 นิ้วคล้ายกับ Leaf ซึ่งมาพร้อมเมนูภาษาไทย และสามารถสั่งการวิทยุ เรียกดูอัตราสิ้นเปลือง รวมถึงเปิดปิดตัวช่วยการขับขี่ต่างๆจากเทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility
ในรุ่นล่างสุดหรือ S จะไม่มีวิทยุติดมาให้ ส่วนรุ่น E และ EL จะเป็นวิทยุที่มีระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และ USB พร้อมช่อง AUX ส่วนรุ่น V และ VL จะติดตั้งจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ที่มาพร้อมกับระบบ Nissan Connect รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple Carplay และแสดงการทำงานของกล้องมองภาพรอบทิศทาง
อุปกรณ์ของยุคสมัยอย่างช่อง USB มีมาให้ 3 จุดที่ด้านหน้า กล่องเก็บของบริเวณที่วางแขนและด้านหลังกล่องเก็บ
เครื่องยนต์เป็นแบบ Downsizing ขนาด 1.0 ลิตร 3 สูบ อัดอากาศด้วยเทอร์โบที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าควบคุม ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า พร้อมแรงบิด 152 นิวตันเมตร ที่ 2,400-4,000 รอบต่อนาที ซึ่งจากเดิมมีเพียง 79 แรงม้า และแรงบิด 106 นิวตันเมตร พร้อมการันตีความประหยัดตามอีโค่สติกเกอร์อยู่ที่ 23.3 กม./ลิตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 12.8 วินาที เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังได้รับการส่งต่อเทคโนโลยีจาก Nissan GTR นั่นคือ Mirror Bore Coating ซึ่งเป็นการเคลือบผิวกระบอกสูบเพื่อลดแรงเสียดทานและช่วยระบายความร้อน
ระบบส่งกำลังยังคงเป็นแบบ CVT ที่มาพร้อม D-Steplogic พร้อมปุ่ม Sport และช่วงล่างหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท หลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีมที่มีการปรับจุดยึดใหม่หมด
เทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility มาแบบจัดเต็ม ในรุ่นท๊อพ VL อาทิ
-ถุงลมนิรภัย 6 จุด
-กล้องรอบทิศทาง Intelligent Aroud View Monitor สามารถมองเห็นพื้นที่ข้างรถรอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน และยังทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Moving Object Detection (MOD) ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหว ตรวจจับวัตถุและมาพร้อมเสียงเตือนในความเร็วไม่เกิน 8 กม./ชม.
-ระบบเตือนจุดบอด Blind Sport Warning ทำงานที่ความเร็วไม่ต่ำกว่า 32 กม./ชม. พร้อมเสียงเตือน
-ระบบเตือนก่อนการชนจะตรวจจับที่ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ซึ่งจะทำการเบรคอัตโนมัติเพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น
-RCTA หรือระบบ Rear Cross Traffic Alert จะช่วยตรวจพื้นที่รอบข้างขณะถอยหลังรัศมี 20 ม. และจะตรวจจับความเร็วของวัตถุที่ไม่เกิน 30 กม./ชม.
นอกจากนี้อุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยก็ให้มาครบครันทั้งระบบเบรก ABS EBD และ BA รวมถึง Hill Start Assist (HAS) ในรถทุกรุ่น
สำหรับการทดสอบสมรรถนะครั้งนี้เลือกที่จะใช้รุ่นท๊อพ VL โดยใช้เส้นทางที่มีความหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นทางโค้งแบบขึ้น/ลงเขาจากภูเก็ต-พังงา-ภุเก็ต ระยะทางรวมกว่า 200 กม.
เริ่มกันด้วยเรื่องของพวงมาลัยที่น้ำหนักเบาในย่านความเร็วต่ำแต่ในย่านความเร็วสูงจะมีการปรับให้หน่วงเพื่อการคุมรถที่มั่นใจได้ ซึ่งประเด็นนี้สำหรับผู้ใช้รถที่เป็นผุ้หญิงสามารถขับได้สบายเนื่องจากไม่ต้องออกแรงมากนัก ส่วนระบบ Active Return Control นั้นอาจจะยังเห็นเป็นรูปธรรมมากมายนักแต่ก็รู้สึกได้ว่าการคืนพวงมาลัยมาตำแหน่งเซนเตอร์นั้นไวและราบลื่นขึ้น
ในส่วนของการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ประจำรุ่น ซึ่งการออกแบบนี้สืบเนื่องมาจากการติดตั้งกระจกแบบ Acoustic Glass และ วัสดุซับเสียงในทุกมิติ จากห้องโดยสารที่เงียบ ส่งผลให้เสียงจากลำโพงนั้นดีขึ้นตามมา
ด้านระบบ Nissan Connect เป็นระบบที่คอยเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการแบบ IOS ผ่าน Apple Carplay ด้วยการใช้สาย ซึ่งแสดงการทำงานของแอพลิเคชั่นจากสมาร์ทโฟนได้หลากหลาย แต่ที่โดดเด่นคงต้องยกให้ Google Map เนื่องจากใช้งานง่าย อุดจุดอ่อนของเนวิเกเตอร์ติดรถที่ต้องคอยไปอัพเดทโปรแกรมที่ศูนย์บริการทุกๆ 1 ปี
ด้านการขับขี่ขุมพลังจิ๋วขนาดเล็กเพียง 1.0 ลิตร แต่ให้แรงม้าสูงถึง 100 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ 152 นิวตันเมตรแม้จะถูกจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติซีวีทีที่ทำให้เหมือนถุกลดความเกรี้ยวกราดลง แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงอาการหลังติดเบาะหากเทอร์โบทำงานเต็มกำลังที่ 1.0 บาร์ และยังให้อารมณ์สปอร์ตหากคุณเผลอใช้คันเร่งที่รุนแรงขึ้น
ระบบ D-Steplogic จะเข้ามาทำหน้าที่แบ่งตำแหน่งเกียร์จนผุ้ขับขี่สามารถรับรู้ได้ จึงทำให้ได้อารมณ์สปอร์ตไปอีกรูปแบบ แต่หากเมื่อไหร่ที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่กลับมาเหมือนเดิม ระบบก็จะตัดออกและให้เกียร์ซีวีทีเข้ามาทำหน้าที่แบบนุ่มนวลและไร้รอยต่อของเกียร์
ด้านของความเร็วสูงสุดอาจไม่สามารถเปิดเผยสู่สาธารณได้ซึ่งต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ขุมพลัง 1.0 ลิตรเทอร์โบนี้ มีพละกำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเลยทีเดียว ถายังตอบสนองต่อความแรงไม่พอ ยังมี Sport Mode ที่ช่วยเรียกให้กำลังมาไวขึ้นรวมถึงเพิ่มรอบความเร็วอัตโนมัติให้อีก 1,000 รอบ
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ในเวลาเพียง 12 เศษๆ และสำหรับความเร็ว 80 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 1,600 รอบ ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้เพียง 1,800 รอบ และความเร็ว 120 กม./ชม.ใช้เพียง 2,200 รอบ
สิ่งที่น่าชื่นชมอีกเรื่องคือระบบช่วงล่างที่รองรับความแรงของเครื่องยนต์ได้อย่างเหมาะสม ออกแบบมาไม่ใช่แนวนุ่มนวลแต่กลายเป็นแน่นและหนึบคนละเรื่องกับอัลเมร่ารุ่นก่อน ยิ่งเมื่อผสมโรงกับพวงมาลัยแปรผันตามรอบความเร็ว รถคันนี้จะทำให้คุณซิ่งได้อย่างปลอดภัยและไม่น้อยหน้าใครบนท้องถนน
การทดสอบในครั้งนี้อาจจะหลุดคอนเซ็ปต์ที่คิดไว้ตั้งแต่แรกนั่นคือการพิสูจน์ถึงความประหยัดที่แจ้งมาถึง 23.3 กม./ลิตร เนื่องจากเครื่องยนต์นั้นขับสนุกจนลืมนึกถึงเรื่องขับประหยัดแต่หวังเล็กๆว่า ถ้าขับแบบนี้แล้วตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมีให้เห็นสัก 17-20 กม./ลิตร ก็เป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ต้องลุ้นกันไปจนถึงปลายทาง ซึ่งก็มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์โดยหน้าจอ TFT แสดงอัตราสิ้นเปลืองไว้ที่ 20.0 กม./ลิตรอย่างพอดิบพอดี
บทสรุปของการทดสอบในครั้งนี้พอจะสังเขปได้ว่าสโลแกน “เปลี่ยนทุกความเชื่อ” นั้นเป็นความจริง เครื่องยนต์แม้จะเล็กกว่ารุ่นเดิมแต่จี๊ดกว่าชัดเจนแถมยังประหยัดเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก ด้านรุปลักษณ์คงปฏิเสธได้ยากว่านิสสัน ออกแบบรถได้สวยสดกว่าที่ผ่านมาในหลายๆรุ่น เทคโนโลยีด้านตัวช่วยการขับขี่และความปลอดภัยที่ให้มากับรถล้วนแต่เป็นของดีโดยพัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมของทางค่าย และ Nissan Connect ได้เพิ่มเติมความทันสมัยที่มาพร้อมกับการแก้เกมส์จากรถที่ไม่มีระบบนำทาง โดยการแสดงข้อมูลของ Google Map ผ่านระบบ Apple Car Play
ข้อดีมากมายที่ได้กล่าวไว้ล้วนแต่สัมผัสได้จริง แต่หากถามว่าสิ่งไหนควรปรับปรุงนั่นคือเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ 3 สูบที่รอบเดินเบาค่อนข้างสั่น ซึ่งถ้าปรับให้เครื่องไม่สั่นโดยการตั้งรอบให้สูงนั้นอาจทำให้รถคันนี้หลุดออกจากกติกาการเข้าร่วมโครงการอีโค่คาร์เฟส 2 ก็เป็นได้
ข้อควรรู้สำหรับ Nissan Almera 2020
-การเปลี่ยนถ่ายนมค.ทุก 7000 กม. เพื่อปกป้องเครื่องยนต์ ถ้าใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีก็อาจสามารถยืดระยะถึง 10,000 กม.
-สำหรับผุ้ที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบ Android ต้องรออีกสักพัก เมื่อไหร่ที่เจ้าของระบบออกมาประกาศตัวว่าสามารถทำงานร่วมกับรถยนต์ ก็สามารถนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อเปิดระบบให้รองรับการใช้งานได้ทันที
-การปรับปรุงไฟหรี่ให้เป็นไฟกลางวัน จะถือเป็นสิ้นสุดการรับประกันตัวรถที่ 3 ปีหรือ 100,000 กม.ทันที
-สำหรับรุ่นทีอพ VL หากเปลี่ยนจากเบาะผ้าเป็นเบาะหนังก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดการันตีด้วยเช่นกัน