BMW Driving experience 2020 ได้จัดขึ้นเป็นประจำ และในปีนี้ BMW นำรถยนต์มาให้ร่วมทดสอบถึง 3 รุ่น ทั้ง 218i Gran Coupe M Sport, X5 Xdrive45e และ 330e M sport ซึ่งการทดสอบในครั้งนี้จะขอเก็บข้อมูลของ 330e ไว้ก่อนและจะรีบนำเสนอเร็วๆนี้ รับประกันความน่าสนใจเช่นเคย แต่ตอนนี้ไปติดตามเรื่องราวของกิจกรรมกันก่อนครับ
การเปิดประสบการณ์การขับขี่ด้วยยนตรกรรมใหม่ในครั้งนี้เริ่มต้นการเดินทางจากอาคาร All Season ย่านถนนวิทยุเพื่อเดินทางไปยังสนามเอ็นดูโร พาร์ค จังหวัดชลบุรี โดยสัมผัสแรกกับ BMW 218i Gran Coupe M Sport บนระยะร้อยกว่ากิโลเมตร จนได้ข้อสรุปหลายๆอย่างเกี่ยวกับรถคันนี้
BMW 218i Gran Coupe เป็นการผสมผสานของรถคูเป้กับซีดานที่ลงตัว ที่ผ่านมารถในอนุกรมของ Gran Coupe มีมานาน ตั้งแต่Series 6, 4 และ 8 ก่อนจะมาเป็น 2 ซึ่งถือเป็นรุ่นล่าสุด โดยทั่วโลก BMW ขายรถในอนุกรมนี้ไปแล้วรวมกว่า 400,000 คัน
BMW 218i Gran Coupe มากับขนาดมิติตัวถังที่ยาว 4,526 มม. กว้าง 1,800 มม. และสูง 1,460 มม. ส่วนความยาวฐานล้อ 2,670 มม. กริวด้านหน้าเป็นชิ่นเดียวซึ่งในอดีต กระจังหน้าทรงไตคู่ได้แยกออกจากกันขัดเจน พร้อมกับเสริมช่องดักลมที่ได้รับออกแบบให้มีความสปอร์ต
ชุดไฟหน้าเป็นแบบ Full Led พร้อมไฟเดย์ไทม์ มาพร้อมชุดแต่ง M Sport รอบคันรวมไปถึงโช๊คอัพ และล้อ M Sport ที่มีคุณสมบัติด้านน้ำหนักเบาในขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขาาด 225/40 R18
ด้านบนมีหลังคาพาโนรามิคเปิดได้หลายระดับและเอกลักษณ์อีกหนึ่งรูปแบบของรถยนต์อนุกรมนี้คือมีกระจกประตูแบบไร้ขอบทั้ง 4 บาน
ห้องโดยสารไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ภาพรวมคือการออกแบบให้มีอารมณ์สปอร์ต เบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตหุ้มหนังแท้ Dakota พร้อมรูระบายอากาศ ตำแหน่งผู้ขับขี่นั้นได้รับการออกแบบให้สามารถควบคุมและสั่งการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆได้ง่าย
พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังค์ชั่นพร้อมระบบบังคับเลี้ยวแบบแปรผันตามน้ำหนักและโหมดการขับเคลื่อน รวมถึงปุ่มสั่งการระบบ Speed Limit และ Cruse Control
หน้าปัดมีจอ Instrument Cluster ขนาด 5.1 นิ้วที่แสดงผลระบบต่างๆ รวมถึง BMW Live Cockpit Plus สั่งงานผ่านสวิทช์ควบคุมบริเวณพวงมาลัยมัลคิฟังค์ชั่น
คอนโซลกลางและข้างตกแต่งด้วย Llluminated Boston มีจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วคอยแสดงการทำงานของระบบ BMW Connectted ระบบปฏิบัติการ BMW os 6 เชื่อมต่อได้กับระบบ Apple Carplay ที่สามารถใช้งานฟังค์ชั่น BMW Connected Drive เพื่อเช็คสถานะของรถ ทั้งยังแสดงภาพจากกล้องมองหลังอีกด้วย
บริเวณกระจกมองหลังมีปุ่ม โทรออกฉุกเฉิน Intelligent Emergency Call หากเผลอไปกด ระบบจะชื่อมต่อไปยังCall Center หรือเบอร์ติดต่อที่ได้ลงทะเบียนไว้เพื่อตรวจสอบหาตำแหน่งของรถในกรณีการเกิดอุบัติเหตุ
ฟีเจอร์ที่ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานนั่นคือ Parkking Distance เลือกการเข้าจอดได้ทั้ง 90 องศาหรือแนวขนาน รวมถึง Reverse Assist ที่จดจำเส้นทางในระยะก่อนหยุดรถ เพื่อความสะดวกในกรณีเข้าทางแคบและต้องถอยออกตามเส้นทางเดิม
BMW 218i Gran Coupe M Sport เป็นรถไม่กี่รุ่นที่ใช้่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า จากขุมพลังเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบคู่ BMW Twin Power Turbo ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ Steptronic แบบคลัทช์คู่ อัตราเร่ง 0-100 ในเวลา 8.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 215 กม./ชม. และมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 16.9 กม./ลิตร ซึ่งขุมพลังนี้พึ่งรับรางวัล Engine of the Year มาหลายสมัย
-ระบบช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สัน หลังแบบมัลติลิงค์ พร้อมโช๊คอัพ M Sport และมีดิสเบรกทั้ง 4 ล้อ ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่งสำหรัยผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า มีทั้งที่คอนโซล ด้านข้าง ซึ่งบริเวณหัวหมอนของทุกที่นั่งจะมีถุงลมนิรภัยติดตั้งให้ด้วย
ระบบช่วยการขับขี่และความปลอดภัยนอกจากสวิทช์ของปุ่มโทรออกฉุกเฉินบริเวณกระจกมองหลัง ยังมีระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) ระบบควบคุมแรงดันเบรคแบบแปรผัน (DBC) และเบรค ABS
นอกจากนี้ยังมีระบบเสริมแรงเบรคอัตโนมัติ ระบบกระจายแรงเบรคขณะเข้าโค้ง (CBC) ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection) และเซนเซอร์ช่วยจอดทั้งหน้าและหลัง
การทดสอบสมรรถนะในครั้งนี้ใช้เส้นทางจากกทม.ไปยังจ.ชลบุรี ต้องบอกว่าถึงแม้เป็นรถคูเป้ซีดานไซส์เล็ก ซึ่งมีขุมพลังขนาดเล็กแต่เด็ดไม่แพ้เครื่องใหญ่ เครื่องยนต์ขนาด 3 สูบ Twin Turbo ขนาด 1.5 ลิตรที่รีดแรงม้าออกมาได้ถึง 140 แรงม้าพร้อมแรงบิด 220 นิวตันเมตร นั้นตอบสนองต่อการใช้ความเร็วที่ค่อนข้างไว
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือโหมดการขับขี่ ทั้ง Eco Comfort และ Sport นั้นทำงานต่างรูปแบบ ต่างวาระ ซึ่งจะเป็นการแปรผันทั้งคันเร่งและพวงมาลัย ในโหมด Eco มีการปรับหน่วงคันเร่งให้จนพอสัมผัสได้ และพวงมาลัยก็ค่อนข้างมีน้ำหนักเบา ส่วนโหมด ComFort นั้นพวงมาลัยเริ่มตึงมือมากขึ้น รวมถึงคันเร่งที่เรียกพลังขึ้นมาได้ดีอีกหนึ่งระดับ แต่ในโหมด Sport จะได้รับพลังเต็มๆจากเครื่องยนต์ คันเร่งเรียกใช้งานได้ตามสั่ง และพวงมาลัยแน่นขึ้นเพื่อการควบคุมที่มั่นใจ
ถึงแม้ว่า BMW 218i Gran Coupe จะไม่มีแพดเดิล ชิฟท์ แต่ที่คันเกียร์ก็มี +/- สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสนุกในการขับขี่ และในส่วนของโช๊คอัพที่อัพเกรดเป็นของ M ก็มีการตอบสนองที่แน่น และหนึบ ทำให้เสริมความมั่นใจไปได้อีกทาง
ฟีเจอร์ที่ให้มากับรถอย่าง Speed Limit ยิ่งมีความสำคัญ เพราะเส้นทางหลายๆแห่ง มีการจำกัดความเร็ว อีกเรื่องคือหน้าจอ 5.1 นิ้วบริเวณมาตรวัด ที่คอยเตือนในเรื่องของการใช้เส้นทางรวมถึงช่องทางอย่างละเอียด จึงทำให้การเดินทางสะดวกละรวดเร็วยิ่งขึ้น ยกเว้นก็แต่ไม่ได้อัพเกรดโปรแกรมเส้นทางในปัจจุบัน
ระบบตัวช่วยถอยจอดและช่วยจำระยะทาง 2 โหมดนี้ทีงานคล้ายกัน นั่นคือการจอดรถอัตโนมัติที่สามารถจอดได้ทั้งเข้าซองและขนาน ส่วนระบบช่วยจำระยะทาง จะจดจำก่อนรถจอดหยุดนิ่งในระยะ 50 ม. ก็จดจำได้แม่นยำ การถอยออกจากซอยแคบก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการเฉี่ยวชน
สำหรับฟีเจอร์ที่น่าชื่นชมนั่นคือ BMW Connected Drive ที่พัฒนาล่าสุด สามารถเปิดดูสถานะผ่านแอพลิเคชั่นและเรียกดูแอพลิเคชั่นต่างๆผ่าน Apple Carplay เท่านั้น ซึ่งประเด็นนี้ไม่ได้ทำการทดสอบเนื่องจากใช้งานสมาร์ทโฟนในระบบ Android Auto
ต่อด้วยการทดสอบสมรรถนะบนทางลุยไปกับ BMW X5 Xdrive 45e ซึ่งถือเป็นรถในระดับราคา 5 ล้านบาทที่มีจุดเด่นจากขุมพลัง Twin Power Turbo แบบ 6 สูบ 3.0 ลิตร 286 แรงม้า System Output 394 แรงม้าโดยรวมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปแล้ว
แถมยังมีอัตราสิ้นเปลืองที่ประหยัดถึง 43.5 กม./ลิตร ในระบบ Plugin Hybrid วิ่งได้ 67-87 กม. จากแบตเตอรี่ 24 KWh ซึ่งมากกว่า 330e 1เท่าตัว
ส่งกำลังตรงไปที่เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic เจเนอเรชั่นล่าสุดและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ทำอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรภายใน 5.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมาพร้อมโหมดการขับขี่ทั้ง Adaptive Eco Hybrid EV Comfort และ Sport ซึ่งถูกปรับแต่งให้มีการทำงานที่แตกต่างต่าง ทั้งน้ำหนักพวงมาลัย คันเร่ง และความสูงของตัวรถ ซึ่งสามารถปรับสูงสุดได้ถึง 40 มม. ซึ่งเป็นตัวช่วยอย่างดีในกรณีเข้าลุยเส้นทางออฟโรด
ระบบช่วงล่างก็ไม่ถือว่าน้อยหน้าเพราะใช้ Airsuspention ปรับระดับความสูงต่ำได้ รวมถึงระบบ HDC หรือ Hill Desent Control ที่คอยทำหน้าที่ชะลอความเร็วในกรณีลงทางลาดชันด้วยความเร็วใม่เกิน 7 กม./ชม.
BMW X5 Xdrive 45e ยังได้รับการติดตั้งระบบ Parking Assistant Plus ที่มาพร้อมกับระบบช่วยถอยรถในทิศทางเดิมแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ตัวรถสามารถจดจำทิศทางที่ขับตรงไปข้างหน้าในระยะ 50 เมตรสุดท้าย ด้วยความเร็วไม่เกิน 36 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ และสามารถถอยออกในทิศทางเดิมแบบอัตโนมัติ
นอกจากนี้ยังมีกล้องมองรอบทิศทาง Surround View Camera รวมทั้งวิวด้านบน วิวพาโนรามิค และรีโมท 3D วิวที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อเพื่อดูภาพของรถที่จอดทางโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ ผ่านระบบ BMW ConnectedDrive
สัมผัสแรกบนทางฝุ่นกับการทดลองลงเนินชันซึ่งใช้ระบบ HDC เป็นตัวช่วย และการใช้เบรกบนทางกรวดเพื่อปรับระยะให้เข้ากับเส้นทางลุยที่อยู่ยังสถานีต่อไป
เส้นทางลุยที่ว่าเป็นป่ามัน ที่เส้นทางเป็นหลุม บ่อ และดินที่ค่อนข้างร่วนซุย โหมดการขับขี่ปรับมาอยู่ที่ Adaptive เพื่อตัวรถที่จะปรับสุงขึ้นและน้ำหนักพวงมาลัยที่ค่อนข่างเบา รวมถึงระบบขับเคลื่อนแบบ Xdrive ที่ทำหน้าที่กระจายแรงบิดมายังล้อต่างๆได้อย่างเหมาะสม การลุยบนเส้นทางแบบนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องกล้วยๆ
สถานการณ์สุดท้ายก่อนจะเสร็จสิ้นการทดสอบของกิจกรรม BMW Driving Experience 2020 นั่นคือการขับในรูปแบบจิมคาน่าบนทางฝุ่นที่สภาพเส้นทางค่อนข้างจะร่วนซุย ระบบทั้งหลายที่มีอยู่ในรถคันนี้ถูกนำมาปลดปล่อย สภาพเส้นทางที่ล้อไม่สามารถสัมผัสกับพื้นถนนหากไม่ใช่ระบบขับเคลื่อนแบบ X Drive และระบบช่วยเหลืออาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว อาจทำให้การทดสอบในครั้งนี้เละไม่เป็นท่า แต่ระบบต่างๆที่กล่าวถึงก็มาช่วยทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้การขับขี่ทำได้ง่ายกว่าที่คิด
บทสรุปของกิจกรรมนี้เป็นที่น่าประทับใจ ทั้งสมรรถนะของเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ขับได้สนุกไม่แพ้เครื่องใหญ่ รวมถึงการยึดเกาะถนนจากโช๊คอัพ M และโหมดการขับขี่ใน BMW 218i Gran Coupe ทำให้รถคันนี้เป็นรถที่ขับสนุกและควบคุมได้ง่าย ซึ่งถือว่าเป็นรถขับเคบื่อนล้อหน้าที่ BMW ผลิตออกมาไม่กี่รุ่น สำหรับ X5 Xdrive 45e กับรูปแบบทดสอบบนทางลุยก็ถีอว่าเป็นการเปิดประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่ ที่นำรถราคาเกือบ 5 ล้านมาลุยในทางโหด และยังมีดีที่เป็นรถในรูปแบบ Plugin Hybrid ซึ่งหากใช้งานในเมืองแทบขับขี่ด้วยการใช้ไฟฟ้าโดยไม่มีการใช้น้ำมันแต่อย่างใด