ฮอนด้า ออโตโมบิลส์ (ประเทศไทย) ส่ง New Honda City ใหม่ลงตลาดถึง 2 รุ่น ทั้ง Hatchback 5 ประตู ซึ่งเป็นการเปิดตัวแบบ World Premier ครั้งแรกของโลก และ e:HEV โดยเพิ่มเติมในส่วนของระบบไฮบริดรุ่นล่าสุด เพื่อให้กลุ่มลูกค้าได้มีทางเลือก เคาะราคาขายในรุ่น 5 ประตู เริ่มต้นที่ 599,000 – 749,000 บาท และในรุ่น e:HEV ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 839,000 บาท ส่วนรถแต่ละรุ่นจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น เชิญรับชมครับ
เปิดตัวในรูปแบบเจน 5 ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมาด้วยสมรรถนะความแรงและประหยัด มาครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มไลน์อัพใหม่ในรูปแบบแฮทแบค 5 ประตู ซึ่งเปิดตัวในรูปแบบ World Premier ที่ไทย รวมถึงอีกหนึ่งรุ่นนั่นคือ e:HEV ในรูปแบบของขุมพลังไฮบริดรุ่นล่าสุด มาเริ่มรายละเอียดกันที่รุ่น Hatchback กันก่อน
Honda City Hatchback มากับมิติความยาว 4,349 มม. กว้าง 1,748 มม. และสูง 1,488 มม. ในขณะที่ระยะฐานล้อหน้า/หลังยาว 2,589 มม. และความสูงใต้ท้องรถ 135 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นซีดาน 4 ประตูจะสั้นกว่า 204 มม. สูงกว่า 21 มม. แต่สูงใต้ท้องรถเท่ากัน
ด้านดีไซน์นั้นได้นำเอาเอกลักษณ์ความสปอร์ตพรีเมียมแฮทช์แบ็ก ซึ่งมาพร้อมดีรูปลักษณ์ภายนอกที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยว โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และ กระจังหน้าแบบโครเมียม
ส่วนในรุ่นท๊อป RS จะแตกต่างตรงที่ใช้ไฟหน้าแบบ FULL LED พร้อมชุดหน้ากระจังสี Piano Black
มุมมองด้านหลังแบบรถท้ายลาด ซึ่งให้ความเอนกประสงค์มากกว่าเดิม ไฟท้ายใช้แบบ LED มีการติดตั้งเสาอากาศแบบครีบฉลาม ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วในรุ่นเริ่มต้น และ 16 นิ้วในรุ่นท๊อพ
ภายในห้องโดยสารติดตั้งวัสดุซับเสียงในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นหลังคา แผงข้าง พื้น รวมถึงผนังห้องเครื่องยนต์ รวมถึงฉีดสเปย์โฟมในส่วนที่เชื่อมต่อกันระหว่างประตูกับห้องเครื่องยนต์เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ทั้งยังหรูหรา สวยงามในโทนสีดำ มาพร้อมเบาะหนัง (รุ่น SV) ส่วนรุ่นท๊อป RS จะเป็นแบบหนังกลับ ตัดขอบด้วยผ้าสีแดง
คอนโซลหน้าแบบ Piano Black มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วย หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสง
รองรับไลฟ์สไตล์ในแบบของตัวเองด้วยเบาะนั่ง อัลตรา ซีท (ULTR) แยกพับแบบ 60:40 ที่ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ได้แก่
•Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
•Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาวได้ขนาดความจุถึง 2.8 ม.
•Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
•Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด
ระบบเครื่องเสียงรุ่นเริ่มต้นยังเป้นแบบ 2 Din ส่วนรุ่นกลางและท๊อปใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พร้อมแสดงภาพจากกล้องมองหลังได้ถึง 3 มุมมองรวมถึงฟีเจอร์ Honda Lane Watch
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ รวมถึงติดตั้งระบบเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิลชิฟท์
อีกหนึ่งความสะดวกสบายเข้ากับยุคสมัยนั่นคือ Honda Connect ซึ่งประกอบไปด้วย
1.MY SERVICE สามารถตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
2.DRIVING BEHAVIOR บันทึกข้อมูลและพฤติกรรมการขับขี่ต่างๆ ที่สามารถให้แสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี
3.WIFI เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ ซึ่งต้องสมัครแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยเจ้าของรถจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
4.AIRBAG DEPLOYMENT เมื่อถุงลมทำงาน จะส่งสัญญาณแจ้งผู้ใช้งานผ่านทางแอปพลิเคชันทันที และส่งข้อความสั้นไปยังเบอร์ติดต่อฉุกเฉิน นอกจากนี้ระบบจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
5.SECURITY ALARM แจ้งสถานะเมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก
6.REMOTE VEHICLE CONTROL สามารถสั่งล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด ฝากระโปรงหน้าและฝากระโปรงท้าย รวมถึงสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ ทั้งยังสามารถสั่งเปิด/ปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย
7.GEO FENCE & SPEED ALERT กำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และตั้งค่าแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนด
8.FIND MY CAR ตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุดผ่านทางแอปพลิเคชัน
เครื่องยนต์เป็นแบบ 3 สูบ 12 วาล์ว VTec Turbo ส่งกำลังด้วยเทอร์ไบและเวสต์เกตไฟฟ้า พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์แบบน้ำ มีระบบหัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI ขนาดความจุ 988 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้าที่ 5,500 รอบ แรงบิด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,500 รอบ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT รองรับเชื้อเพลิงอี 20 ซึ่งให้ความประหยัดถึง 23.8 กม./ลิตร
ระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังทอร์ชั่นบีม ส่วนระบบเบรคเป็นหน้าดิส หลังดรัม มาพร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ในรุ่นท๊อปและรองท๊อป ส่วนรุ่นเริ่มต้นมีถุงลมนิรภัย 4 จุด
ตัวช่วยด้านความปลอดภัยมีทั้งระบบเบรกเอบีเอส, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist และสัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน
ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
รุ่น SV ราคา 675,000 บาท
รุ่น S+ ราคา 599,000 บาท
มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS สีใหม่ สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) พร้อมด้วย สีขาวแพลทินัม (มุก) เฉพาะรุ่น RS และ SV สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโซนิค (มุก) และสีขาวทาฟเฟต้า เฉพาะรุ่น S+
Honda City e:HEV เปิดโลกทัศน์ใหม่ในรถกลุ่มซิตี้คาร์รูปแบบ Full Hybrid
ก่อนอื่นถือเป็นการสื่อสารถึงเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ของฮอนด้า ทั้งรถจักรยานยนต์ รถยนต์ เครื่องยนต์อเนกประสงค์ และเทคโนโลยีในการจัดการพลังงานต่าง ๆ ภายใต้ ฮอนด้า อี:เทคโนโลยี (Honda e:TECHONOLOGY) สำหรับยนตรกรรมที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฮบริดจะได้รับการสื่อสารภายใต้ชื่อ อี:เอชอีวี (e:HEV)
Honda City e:HEV มาในรูปแบบบอดี้ของรถ 4 ประตู ที่มีสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเป็นรถ Full Hybrid นั่นคือโลโก้สีฟ้าที่ดานหน้า พร้อมสัญลักษณ์ e:HEV ที่บริเวณฝากระโปรงท้าย ซึ่งสำหรับรถรุ่นนี้ได้นำอุปกรณ์พื้นฐานมาจากรุ่น RS
ห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะนั่งเป็นแบบหนังกลับดีไซน์สปอร์ตตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง
มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้วที่แสดงและสั่งการระบบต่างๆของ Honda Sensing รวมถึงข้อมูลการใช้รถยนต์ต่างๆ โดยใช้สวิตช์ที่พวงมาลัย และยังมีระบบเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิล ชิฟท์ ให้อีกต่างหาก
คอนโซลกลางมีระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Google Maps ทั้งยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) รวมถึงมีเบรคมือไฟฟ้าและ Auto Brake Hold
เทคโนโลยีชูโรงสำหรับ Honda City e:HEV มาจากการที่เป็นรถ Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ซิตี้คาร์ในประเทศไทย ที่มาระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน เป็นระบบ Full Hybrid
เมื่อรวมขุมพลังจะให้กำลังสูงสุดที่ 126 แรงม้า ที่ตอบสนองด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม
และเทคโนโลยีที่หลายคนรอคอยนั่นคือ Honda Sensing ซึ่งประกอบด้วย
•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่น e:HEV RS ราคา 839,000 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)
เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
ทั้งนี้ยังมีโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร สูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
สัมผัส New Honda City ใหม่ ทั้ง 2 รุ่น ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ตั้งแต่วันที่ 24 – 26 พฤศจิกายน 2563 หลังจากนั้นสามารถสัมผัส เดอะ ซิตี้ ซีรีส์ ใหม่ ทั้ง 2 รุ่น ได้ที่บูทฮอนด้า A14 ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 37 (Motor Expo 2020) ตั้งแต่วันที่ 2 – 13 ธันวาคม 2563 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และสัมผัส ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 และพบกับฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2564 เป็นต้นไป