บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในปี 2563 คว้ารางวัลจากหลายเวทีในอุตสาหกรรมยานยนต์ ครองใจผู้บริโภคด้วยความโดดเด่นทั้งในด้านภาพลักษณ์แบรนด์และนวัตกรรมยานยนต์อย่างรอบด้านด้วยการมอบพลังแห่งทางเลือกที่หลากหลาย พร้อมสร้างประโยชน์อันยั่งยืนให้แก่สังคมผ่านโครงการอีกมากมายตลอดปี ฉลองความสำเร็จส่งท้ายปี คว้ารางวัลจาก 4 เวทีซึ่งเป็นรางวัลจากผลสำรวจของผู้บริโภคและการคัดเลือกของผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่
- รางวัลบริษัทรถยนต์ขวัญใจมหาชนอันดับหนึ่งในการสำรวจ Thailand’s Most Admired Company 2020 โดยนิตยสารแบรนด์เอจต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยได้รับคะแนนสูงสุดใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านนวัตกรรม ด้านผลการดำเนินงาน ด้านภาพลักษณ์แบรนด์ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และด้านการบริหารและบริการ
- รางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม THAILAND AUTOMOTIVE QUALITY AWARD (TAQA) ภาพลักษณ์ดีเด่น ด้านรูปลักษณ์ดึงดูดใจอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 3
- รางวัลผู้จำหน่ายรถยนต์ยุโรปส่งเสริมสิ่งแวดล้อมด้านนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า ประจำปี 2563 รางวัลมอเตอร์ไซค์สุดยอดเทคโนโลยีล้ำสมัย ประจำปี 2563 และรางวัล THAILAND CAR MARKETING AWARDS 2020 จากการประกาศรางวัลของสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.)
- รางวัล PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2020-2021 จากนิตยสาร Business+ ในกลุ่มยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ประเภทรถยนต์นั่งหรูหราระดับสูงจากบีเอ็มดับเบิลยู 745Le xDrive M Sport และประเภทรถยนต์นั่งหรูหราระดับต้นจากมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน
มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ความสำเร็จของเราพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งด้านความแข็งแกร่งของยอดขายอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ 4,026 คันในไตรมาสที่สาม เพิ่มขึ้นถึง 27% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในปีนี้ เรายังได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคที่มีต่อเรา ซึ่งรางวัลจากทั้งสี่เวทีที่เราได้รับครั้งนี้เป็นผลจากความมุ่งมั่นในการมอบพลังแห่งทางเลือกทั้งด้านนวัตกรรมยานยนต์และด้านไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ที่หลากหลาย บริการหลังการขายที่มีความยืดหยุ่น ตลอดจนการปรับตัวเพื่อนำเสนอทางเลือกต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคอย่างตรงจุด การยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ ถือเป็นหัวใจหลักในการพัฒนานวัตกรรมและบริการของบีเอ็มดับเบิลยู และเป็นปรัชญาสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของเราตลอดมา”
ความสำเร็จด้านนวัตกรรมในปี 2563 ของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูคว้ารางวัลจากทั้ง 4 เวที โดดเด่นด้วยความหลากหลายหรือการมอบพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า ด้วยตัวเลือกเครื่องยนต์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สันดาปภายในทั้งเบนซินและดีเซล รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ไปจนถึงรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายรุ่น ครอบคลุมตระกูลซีดานอย่างซีรี่ส์ 7, ซีรี่ส์ 3 และซีรี่ส์ 2 และตระกูล X เช่น บีเอ็มดับเบิลยู X5, X3 และ X1 รวมถึงรถยนต์ที่มาพร้อมรูปลักษณ์และสมรรถนะสปอร์ตเร้าใจอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M8 Competition Coupe และที่เปิดตัวไปล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู 430i Coupe M Sport ที่สำคัญในปีนี้ บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดไปถึง 4 รุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 745Le xDrive M Sport บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive45e M Sport พร้อมเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % รุ่นแรกจากมินิอย่าง มินิ คูเปอร์ เอสอี เสริมทัพยนตรกรรมไฟฟ้าจากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู i3s และบีเอ็มดับเบิลยู i8 Roadster
อีกหนึ่งความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนพลังสะอาดอย่างยั่งยืน ที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูคว้ารางวัลผู้จำหน่ายรถยนต์ยุโรปส่งเสริมสิ่งแวดล้อมด้านนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า จากสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทยมาครอบครอง นอกจากการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่นแล้ว ยังรวมถึงการเดินหน้าขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ChargeNow ซึ่งปัจจุบันมีหัวจ่าย ChargeNow ทั้งหมด 91 หัวจ่าย ใน 63 แห่งทั่วประเทศไทย ควบคู่กับการติดตั้งหัวจ่ายไฟฟ้าอีก 50 หัวจ่ายที่ศูนย์บริการของผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิอย่างเป็นทางการ
ด้านภาพลักษณ์แบรนด์ บีเอ็มดับเบิลยูได้เติมเต็มประสบการณ์ผู้บริโภคอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในช่วงสถานการณ์โรคระบาดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น อย่างการนำเสนอทางเลือกในการเข้าชมและสั่งจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์และงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปกับการเดินชมงานแบบปกติ รวมทั้งการจัดงาน BMW Xpo ในรูปแบบใหม่ ที่คำนึงถึงความต้องการและความสะดวกของลูกค้ายิ่งขึ้น โดยนำประสบการณ์สไตล์บีเอ็มดับเบิลยูมาให้ลูกค้าได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดในศูนย์การค้า 4 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร
สำหรับข้อเสนอทางการเงินและบริการหลังการขาย ก็มีความยืดหยุ่นและครอบคลุมทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยได้นำเสนอพลังแห่งทางเลือกทั้งสำหรับบริการทางการเงินและบริการโปรแกรมบำรุงรักษา สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ข้อเสนอทางการเงิน Freedom Choice ที่มอบที่สุดแห่งความยืดหยุ่นให้กับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ซึ่งได้เปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2561 เพิ่มความยืดหยุ่นให้ลูกค้าจากโมเดลการครอบครองรถยนต์แบบดั้งเดิม สู่โมเดลรูปแบบใหม่ที่เน้นระยะการใช้งานมากขึ้น ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างว่าคืออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ในด้านการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู ได้เปิดศูนย์บริการ BMW Service Outlet และโชว์รูมรถยนต์มือสองที่ผ่านการรับรองคุณภาพ 2 แห่ง ได้แก่ อมร เพรสทีจ รังสิต และ เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ดอนเมือง รวมถึงการเปิดศูนย์ให้บริการซ่อมตัวถังและสีที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากบีเอ็มดับเบิลยูของเพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ที่จรัญสนิทวงศ์ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อลูกค้า อีกหนึ่งความสำเร็จที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูเป็นบริษัทรถยนต์ขวัญใจมหาชนอันดับหนึ่งของการสำรวจ Thailand’s Most Admired Company 2020 ยังมาจากการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งด้านสุขภาพและการศึกษา ในโครงการแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สานต่อเป็นปีที่ห้า ร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เวฟส์ ฟอร์ วอเตอร์ และเครือข่ายผู้จำหน่าย เพื่อมอบระบบกรองน้ำพร้อมถ่ายทอดวิธีดูแลรักษาระบบกรองน้ำและความรู้ในการบริหารจัดการน้ำสะอาด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวบ้านในชุมชนอย่างยั่งยืน โดยในปี 2563 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้มอบเครื่องกรองน้ำรวม 715 เครื่องให้แก่ 13 ชุมชนทั่วประเทศ รวม 6,918 เครื่อง ตลอดระยะเวลาห้าปี ให้แก่ 93 ชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดใน 32 จังหวัดทั่วประเทศไทย ช่วยให้สมาชิกในชุมชนกว่า 691,800 คนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้ในชีวิตประจำวัน
ในด้านการศึกษา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการ BMW Service Apprentice โครงการศึกษาระบบทวิภาคีเยอรมัน-ไทย เพื่อพัฒนาระบบอาชีวศึกษาของไทยและสนับสนุนศักยภาพนักศึกษาอาชีวะให้มีความสามารถและทักษะในระดับสากล ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่ 9 ของการดำเนินงาน มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการไปแล้วกว่า 185 คน โดยดำเนินการควบคู่กับโครงการฝึกอบรมนักศึกษาอาชีวะในด้าน Mechatronics ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย และมีนักศึกษาที่จบหลักสูตรไปแล้ว 62 คน นับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยูในการขับเคลื่อนและยกระดับศักยภาพของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยนตรกรรมของภูมิภาค