Next Gen Ford Ranger Wildtrak มาใหม่กับความสด จากรูปลักษณ์ และเทคโนโลยีทันสมัย จะเรียกว่าที่สุดของเวกเมนต์นี้ก็ว่าได้ สิ่งที่ยังคงได้กลิ่นอายของรุ่นก่อนมีเรื่องเดียวนั่นคือขุมพลัง แต่ ฟอร์ด มอเตอร์ ได้มีก็มีการพัฒนาให้มีความกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร ต่างไปจากเดิม 3 แรงม้า ฟิลลิ่งการขับขี่จะเป็นเช่นไร การใช้งานเทคโนโลยีทันสมัยจะช่วยเหลือการขับขี่มากน้อยเพียงใด เรื่องราวการทดสอบทั้งทางเรียบ และทางลุยพร้อมให้ติดตาม
Next Gen Ford Ranger Wildtrak รูปลักษณ์ภายนอกตกแต่งให้ดูสปอร์ต ดุดัน สไตล์อ๊อฟโรด หน้ากระจังและกันชนตกแต่งด้วยสีดำเงาปัยโนแบลคต่างไปจากรุ่นปกติ ไฟหน้าแบบ LED โปรเจกเตอร์ พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน และไฟตัดหมอกแบบ LED ซึ่งการทำงานในขณะเวลากลางคืนจะส่องแสงไปตามทิศทางการหมุนของพวงมาลัย
กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า มีไฟส่องสว่างข้างตัวรถ ซุ้มล้อตกแต่งคิ้วกันกระแทกสีดำ กระบะท้ายติดตั้งสปอร์ตบาร์และราวยึดอุปกรณ์ ติดตั้งมาเฉพาะรุ่น กันชนหลังมีบันไดข้างสำหรับเหยียบขึ้นตัวกระบะ
ฝาท้ายติดตั้งระบบช่วยผ่อนแรง EasyLift ทำให้น้ำหนักเบาทั้งเปิดและปิด ติดตั้งพื้นปูกระบะมาให้เสร็จสรรพ รวมถึงมีช่องจ่ายกระแสไฟ 12V 1 ช่อง และ 230V 1 ช่อง สำหรับใช้ในการจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เข้าทางผู้ที่รักการใช้ชีวิตการเดินทางในสไตล์แคมปิ้ง
สำหรับล้ออัลลอยมีขนาด 18 นิ้ว และระบบเบรคเป็นดิสเบรกทั้ง 4 ล้อ ซึ่งจานเบรกหน้ามีขนาดใหญ่ถึง 420 มม.
มิติตัวรถมีขนาดความยาว 5,370 มม. กว้าง 1,918 มม. สูง 1,884 มม. และระยะฐานล้อยาว 3,270 มม. ส่วนขนาดความกว้างของกระบะท้ายยาว 1,564 มม. กว้าง 1,584 มม. และสูง 540 มม.ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นเดิมจะสั้นลงเล็กน้อย แต่ในส่วนของฐานล้อปรับใหม่ ส่งผลให้ห้องโดยสารกว้างขึ้นอีกด้วย
ภายในตกแต่งสปอร์ต เน้นโทนสีดำ เบาะหุ้มหนังและหนังสังเคราะห์ ตัวเบาะปรับให้ใหญ่ขึ้นกว่าเจนที่ผ่านมาอย่างเห็นไดชัด รุ่น Wildtrak มีปักฉลุเดินด้ายสีเหลือง สำหรับเบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง
มาตรวัดขนาด 8 นิ้วแบบดิจิตอล คอนโซลกลางติดตั้งจออินโฟเทนเมนต์สั่งการด้วยระบบสัมผัสขนาด 12 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ซึ่งแสดงการทำงานของกล้องมองภาพ 360 องศา ลำโพง 6 ตำแหน่ง ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และสามารถสั่งงานด้วยเสียง โดยการควบคุมของระบบปฎิบัติการ Sync 4a ถูกใช้เป็นสมองหลัก ส่วนการสั่งการเชื่อมต่อระบบต่างๆผ่านระบบ Ford Pass Connect
มีช่อเสียบ USB 4 จุด ส่วนแอร์เป็นแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา และมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึง Wiress Charger
เครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิม 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที (ลดลงจากรุ่นเดิม 3 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ระบบขับเคลื่อนมีทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ซ่งมากับตัวช่วยทั้ง Differrential Lock และ Hill Desent Control ซึ่งมากับฟังค์ชั่นการใช้งานในทางลุย Terrain Managtment System
ระบบช่วงล่างปรับใหม่ ด้านหน้าเป็นแบบอิสระดับเบิลวิชโบน ปรับโช๊คอัพเชแบบ Twin Tube เป็น Mono Tube ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่น
ถึงแม้ว่าเป็นน้องสุดท้องของเซกเมนต์รถกระบะ เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยจัดเต็ม ทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง, ระบบช่วยโทร. ฉุกเฉิน, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control, ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA, ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM และเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
เราใช้การเดินทางไกลกว่า 100 กม. สำหรับการพิสูจน์สมรรถนะ ในด้านการควบคุมนั้นแม่นยำ พวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามรอบความเร็ว ส่วนในด้านของการเก็บเสียงในห้องโดยสารทำมาได้ดี เครื่องยนต์แรงหายห่วง อัตราเร่ง 0-100 ทำได้ในเวลาเพียงไม่ถึง 11 วินาที พร้อมอัตราสิ้นเปลืองตามอีโค่สติกเกอร์ที่ประมาณ 13 กม./ลิตร
และอีกเรื่องที่จัดเต็มทั้งกล้องมองภาพรอบคัน ยังมีตัวช่วยการขับขี่แบบไม่กั๊ก ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง ระบเตือนเมื่อมีวัตถุเข้าใกล้ และอีกมากมาย ซึ่งพูดได้ว่าการมาทีหลัง แต่ขึ้นนำในด้านเทคโนโลยีความทันสมัย รวมถึงระบบความปลอดภัย
นอกจากนี้การใช้งานในทางลุย ถ้าพูดว่าไปได้ทุกที่ก็ไม่ถึงกับเกินจริง เพราะนอกจากการใช้งานขับเคลื่อน 4 ล้อที่ปรับได้ง่าย Terrain Management System ที่ถูกส่งต่อมาจาก Raptor ทั้งโหมด ทราย หิน หญ้า โคลน ที่ไม่ได้มาแค่ Baha โหมด Sport ซึ่งตัวช่วยในทางลุยอย่าง Defferential Lock และ Hill Desent Control ยังมีมาให้ครบ แต่การใช้งานอาจจะยุ่งยากกว่าเดิม เพราะต้องเข้าไปเปิดระบบที่จอกลาง
ทุกสิ่งอย่างที่ให้มากับ Next Gen Ford Ranger Wildtrak พุดได้ว่าดีงาม เพียงแต่ควรปรับตัวคุ้นชินกับรถได้เร็วที่สุด เพราะที่สัมผัสได้ในการทดสอบครั้งนี้ รอบเครื่องยนต์จะไปค้างอยู่ที่ 1500-1700 รอบ ก่อนที่จะปลดรอบให้เหลือประมาณ 800 รอบ และอีกเรื่องคือเบรกที่พัฒนาด้วยการถอดหม้อลมเบรกให้เป็นระบบช่วยเบรกแบบไฟฟ้า อาจจะต้องเผื่อระยะเล็กน้อย
ราค่าตัว 1.299 ล้านบาทถือว่าค่อนข้างคุ้มค่ากับอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงความใหม่ สด ขุมพลังที่ดุดันและแรงที่สุดในเซกเมนต์ ช่วงล่างที่เฟริ์มและให้อารมณ์ต่างไปจากรถกระบะเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีที่จัดเต็ม และที่ถูกทางนั่นคือผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยและชอบท่องเที่ยวในสไตล์แคมปิ้ง Next Gen Ford Ranger Wildtrak คือคำตอบ