กระบะสมรรถนะสูง มาพร้อมตัวรถที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ ปรับแต่งรูปลักษณ์ให้มีความโหด ดุดัน ผสมผสานดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) ออกแบบโครงสร้างแบบใหม่รวมถึงตัวถังที่สูงและช่วงล้อกว้างขึ้น ติดตั้งโช๊คอัพระดับไฮเอนด์จาก Fox Racing Shox ระบบกันสะเทือนหลังแบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อค ขุมพลังดีเซลเป็นแบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ผ่านการทดสอบมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมสุดหฤโหดรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสายลุยพันธุ์แกร่ง
ฟอร์ด เรนเจอร์ ถือเป็นรถธงของฟอร์ดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นับจากยอดจำหน่ายที่พุ่งขึ้นทุกปีโดยปีที่ผ่านมาสามารถทำตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 22 % ซึ่งในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 40 % และ “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ก็ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จที่ได้ผ่านขั้นตอนการออกแบบ ผลิต และทดสอบจากทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) ซึ่งได้นำพื้นฐานการพัฒนามาจาก ฟอร์ด เอฟ 150 กระบะบิ๊กไซส์ที่สร้างชื่อมาจากสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนต์ตลาดรถกระบะในฐานะรถกระบะสมรรถนะสูงสำหรับนักขับขี่แบบออฟโรดตัวจริง ทั้งยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการส่งมอบรถกระบะสายพันธุ์ “เกิดมาแกร่ง”
เรนเจอร์ แรพเตอร์ มีตัวรถที่ดูใหญ่ขึ้นในทุกมิติ มาพร้อมความสูงถึง 1,873 มิลลิเมตร กว้าง 2,180 มิลลิเมตร และยาว 5,398 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้นเป็น 1,710 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 283 มิลลิเมตร ขณะเดียวกัน ยังมาพร้อมมุมไต่ที่ 32.5 องศา มุมคร่อมที่ 24 องศา และมุมจากที่ 24 องศา
แชสซีได้ถูกออกแบบมาใหม่เพื่อรองรับระบบช่วงล่างที่ใหญ่ขึ้น ทำให้เรนเจอร์ แร็พเตอร์ สามารถเพิ่มระยะช่วงล้อคู่หน้าและหลัง และยังเพิ่มระยะการให้ตัวของล้อได้มากขึ้น แชสซีผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) เกรดต่างๆ อีกทั้งยังเสริมความแข็งแรงด้านข้างของแชสซี (side-rails) เพื่อรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นหลัก มุมมองจากด้านหน้ามากับกระจังหน้าใหม่อันสะดุดตาได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ฟอร์ด เอฟ-150 แร็พเตอร์ โลโก้ฟอร์ดสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ภาษาอังกฤษอันเป็นเอกลักษณ์ ชุดกันชนด้านหน้าซึ่งติดกับเฟรมรถได้รับการออกแบบให้มีความทนทาน แผงกันชนด้านหน้ายังมาพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED พร้อมช่องรีดอากาศ ที่ช่วยลดการต้านลมของตัวรถได้เป็นอย่างดี
แก้มข้างรถคู่หน้าดีไซน์ใหม่ผลิตจากวัสดุคอมโพสิท แข็งแกร่ง ทนต่อการบุบและรอยขีดข่วน อีกทั้งถูกตีโป่งขยายรองรับระยะยุบตัวของโช้คที่เพิ่มมากขึ้น บันไดข้างออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง และรูที่ถูกเจาะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ระบายทราย โคลน และหิมะได้ โดยผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอยเพื่อเพิ่มความคงทน ทั้งยังผ่านการทดสอบด้วยการกดน้ำหนัก 100 กิโลกรัมถึง 84,000 ครั้ง เพื่อจำลองการใช้งานในสนามทดสอบจริงกว่า 10 ปี และทำการเคลือบถึงสองชั้น โดยทำการพ่นสี powder-coated ก่อนพ่น grit-paint ทับอีกชั้น
กันชนท้ายปรับปรุงโดยเพิ่มชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด รองรับการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน นอกจากนี้ส่วนท้ายรถยังได้รับการพัฒนาด้วยกรอบตัวเซ็นเซอร์ที่เรียบเสมอกับตัวถัง และตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ มอบพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวางด้วยขนาด 1,560 x 1,743 มิลลิเมตร
ยางที่ใช้เป็นแบบ All-terrain จาก BF Goodrich ขนาด 285/70 R17 พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะเพื่อเสริมสมรรถนะการขับขี่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 838 มิลลิเมตร กว้าง 285 มิลลิเมตร
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมความประณีต เลือกสรรวัสดุที่คงทนและเหมาะสมสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดและการใช้งานในชีวิตประจำวัน เบาะที่นั่งได้รับการออกแบบพิเศษสไตล์บักเก็ทซีท โอบกระชับกับสรีระ เลือกใช้หนังกลับและหนังแท้ เพื่อห้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารยึดเกาะที่นั่งได้ดียิ่งขึ้น
หลังพวงมาลัยสังเกตได้ถึงความแตกต่างของทุก ๆ รายละเอียดบริเวณคอนโซลหน้ารถ ไม่ว่าจะเป็นการเดินด้ายสีน้ำเงินและการเลือกใช้วัสดุหนัง แผงหน้าปัดที่มาในรูปแบบที่ดุดันแสดงฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบต่าง ๆ
พวงมาลัยค่อนข้างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด มาพร้อมกับแป้น Paddle Shift ขนาดใหญ่ ผลิตจากแม็กนีเซียมน้ำหนักเบารวมถึงแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Centre Marker ที่เป็นแถบสีแดงด้านบนของพวงมาลัย ช่วยให้นักขับออฟโรดทราบถึงตำแหน่งองศาของพวงมาลัยขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้สลักลายโลโก้แร็พเตอร์ลงบนขอบพวงมาลัย เพื่อมอบความโดดเด่นสะดุดตาอีกด้วย
นวัตกรรมครั้งสำคัญนี้ยังรวมถึงเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 500 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ที่หยิบยกมาจาก เอฟ-150 ซึ่งผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มาพร้อมกับระบบเบรกอันทรงพลังโดยการใช้ชิ้นส่วนพิเศษที่ทำขึ้นเฉพาะรุ่น คาลิปเปอร์เบรกคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ ที่เพิ่มขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขึ้น 9.5 มิลลิเมตร มาพร้อมกับจานเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่ถึง 332 x 32 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังมาพร้อมกับดิสก์เบรกที่มาพร้อมกับระบบ brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 332 x 24 มิลลิเมตรคู่กับคาลิปเปอร์เบรกใหม่ขนาด 54 มิลลิเมตร
ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อคทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง จึงช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น
ระบบช่วงล่างสายพันธุ์รถแข่งออกแบบมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ที่ความเร็วสูงบนสภาพพื้นผิวขรุขระ โดยที่ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบและสบายอย่างเต็มที่ ด้วยโช้คแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้าและหลัง
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ยังมีปีกนกที่ทำจากอะลูมิเนียม โดยปีกนกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ ติดตั้งแผงกันกระแทกด้านล่างเพื่อช่วยปกป้องห้องเครื่อง ผลิตจากเหล็กกล้า (High-strength steel) มีความหนา 2.3 มิลลิเมตร ป้องกันเครื่องและระบบส่งกำลัง (transfer case) ทั้ง 3 ส่วนนี้ที่ช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหม้อน้ำ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Assisted Steering – EPAS) ชุดสายพานหน้าเครื่อง (Front End Accessory Drive – FEAD) คานล่างด้านหน้า (Front cross-member) อ่างน้ำมันเครื่อง และชุดเฟืองขับส่วนหน้า
ในส่วนของ Terrain Management System (TMS) สำหรับโหมดการขับขี่มีทั้งหมด 6 รูปแบบ โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดจากปุ่มบนพวงมาลัย จึงสามารถควบคุมรถได้ดั่งใจในแต่ละสภาพเส้นทาง อันประกอบด้วย
โหมดการขับขี่ทางเรียบ
–โหมดปกติ – เน้นความสบาย นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน
–โหมดสปอร์ต –เน้นการเปลี่ยนเกียร์เร็วและฉับไวในขณะที่รอบเครื่องสูง พร้อมทั้งค้างรอบเครื่องสูงไว้เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้นอย่างที่ผู้ขับขี่ต้องการ
โหมดการขับขี่ออฟโรด
-โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ – ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่นและเป็นหลุมบ่อ โดยระบบจะทำการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวลขึ้นพร้อมทั้งออกตัวด้วยเกียร์ที่สอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ
-โหมดโคลน/ทราย – ระบบจะปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึกและสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างพื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง
-โหมดหิน – ใช้เมื่อขับขี่บนพื้นผิวในเขตภูเขาที่ลาดชัน ต้องใช้ความเร็วต่ำ และเน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ
-โหมดบาฮา – ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูงเสมือนนักแข่งแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาอันเลื่องชื่อ โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ รวมทั้งเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด ระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มีเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อ ซิงค์ 3 (SYNC 3) ซึ่งเป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ผนวกเข้าในรถคันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงระบบความปลอดภัยระดับสูงทั้งแบบแอคทีฟและพาสซีฟ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) จะคอยช่วยเมื่อเข้าโค้งหรือเบรกกะทันหันจนรถเริ่มเสียการทรงตัว ระบบนี้ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control)
ทั้งนี้ยังมีกล้องมองหลังแสดงภาพบนจอแอลซีดีขนาด 8 นิ้ว ซึ่งทำงานร่วมกับสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง จึงช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกมั่นใจได้ไม่ว่าจะจอดรถในที่ใดก็ตาม รวมถึงยังได้ติดตั้งระบบอำนวยความสะดวก อาทิระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (EZ Lift Tailgate) ด้วยกลไกผ่อนแรง จะช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลงไป 66 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งกุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มีสีภายนอกให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ สีฟ้าไลท์นิ่ง บลู (Lightning Blue) สีแดงเรซ เร้ด (Race Red) สีดำแชโดว์ แบล็ค (Shadow Black) สีขาวโฟรเซ่น ไวท์ (Frozen White) และสีพิเศษเฉพาะของเรนเจอร์ แร็พเตอร์อย่าง สีเทาคองเคอร์ เกรย์ (Conquer Grey) ที่โดดเด่น โดยตัดกับสีเทาไดโน่ เกรย์ (Dyno Grey) เพื่อขับให้รูปลักษณ์ของรถดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
เป็นที่น่าภูมิใจที่ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ใช้ฐานการผลิตที่โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) โดยใช้กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยระดับโลกของฟอร์ด
ในด้านราคาจำหน่ายยังไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด ซึ่งค่าตัวของ ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ จะเปิดเผยอย่างเป็นทางการในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ 2018