ลักซูรีซีดานระดับเฟิร์สคลาส มากับการออกแบบที่กล้าจะแตกต่างอย่างมีสไตล์เฉพาะตัว ห้องโดยสารกว้าง หรูหรา ดีไซน์ดั่งอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนอย่างประณีต พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีความปลอดภัยแห่งอนาคต ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์วี 6 สูบ ขนาด 3.5 ลิตร มีให้เลือก 3 รูปแบบ จำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 11,530,000 บาท
Lexus LS ได้รับการแนะนำเข้าสู่ตลาดรถยนต์ระดับหรูครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2532 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่ต้องการสุดยอดยนตกรรมที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นและหรูหราสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกขั้นสูงและอุปกรณ์ความปลอดภัยครบครัน โดยเป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพจากทั่วโลกและเด่นชัดด้วยยอดขายรวมจนถึงปัจจุบันกว่า 570,000 คัน ในประเทศสหรัฐอเมริกา และมากกว่า 800,000 คัน ทั่วโลก
Lexus LS ใหม่ นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 พัฒนาขึ้นโดยเน้นการผสมผสานรูปลักษณ์และเสน่ห์แห่งยนตกรรมที่เปี่ยมด้วยความหรูหรา ผ่านฝีมือการผลิตและความเอาใจใส่ขั้นสูงแบบญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อด้านความปราณีตและพิถีพิถัน (Takumi Craftsmanship) อันเป็นเอกลักษณ์ จึงสะท้อนถึงขนบธรรมเนียมในการต้อนรับและการบริการแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Omotenashi” ด้วยการทำให้ทุกรายละเอียดให้นำมาซึ่งบรรยากาศแห่งความสงบและความผ่อนคลาย โดยรถรุ่นนี้เผยโฉมสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2560 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และสำหรับประเทศไทยนั้น ถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้นำเสนอความหรูหราสมบูรณ์แบบของ Lexus LS ใหม่ ให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัส
รูปลักษณ์ออกแบบด้วยเส้นสายที่พริ้วไหวและเป็นความงามแห่งนวัตกรรมที่หลอมรวมทักษะฝีมือช่างญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสะกดทุกสายตาแต่แรกเห็นด้วยเอกลักษณ์ตัวถังรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ก่อให้เกิดสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น เกิดอัตลักษณ์สะท้อนสไตล์และบุคลิกที่คู่ควรกับการเป็นสุดยอดยนตกรรมระดับแนวหน้า
ชุดไฟหน้าและไฟส่องสว่าง Ultra-small 3-eye Bi-Beam ผสมผสานการออกแบบขั้นสูงที่กระจายความสว่างได้อย่างยอดเยี่ยม ไฟ LED 16 ดวงที่อยู่ในไฟเลี้ยวส่องประกายสว่างเรียงทีละดวงจากมุมด้านในจนถึงด้านนอกของตัวรถ
โคมไฟท้ายแบบ combination โคมไฟท้ายรวมถึงไฟบนฝากระโปรงหลังเป็นไฟ LED ทั้งหมด นอกจากนี้ไฟเลี้ยวยังส่องสว่างคมชัด
ห้องโดยสารจึงออกแบบให้มีพร้อมด้วยเทคโนโลยีด้านความสะดวกสบายสูงสุด สมกับที่เป็นยนตกรรมหรูระดับแนวหน้าที่มาเพื่อเสริมสร้างสุนทรียตลอดการเดินทางอย่างมีคุณภาพ พร้อมห้องโดยสารที่ปราณีตและไม่เหมือนใครเต็มไปด้วยกลิ่นอายศิลปกรรมที่พิถีพิถันตามแบบฉบับของความเป็นญี่ปุ่น ดึงดูดใจเมื่อได้เห็น
เบาะนั่งตอนหน้าไฟฟ้าปรับ 28 ทิศทาง ระบบนิวเมติกที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระทุกส่วนของร่างกายอย่างพอดี เบาะรองไหล่ช่วยเสริมการขับขี่ สร้างความรู้สึกให้เป็นหนึ่งเดียวกับรถ นอกจากนั้นเบาะยังช่วยรองรับสะโพกช่วงหลังเป็นพิเศษ เพื่อรักษาสรีระระหว่างเบรกและเข้าโค้ง รวมถึงเบาะรองรับด้านข้างช่วยกระชับให้ร่างกายทรงตัวนิ่งในช่วงเข้าโค้ง
เบาะนั่งตอนหลังควบคุมด้วยไฟฟ้าปรับ 22 ทิศทาง และพนักวางขาไฟฟ้า เบาะนั่งตอนหลังควบคุมด้วยไฟฟ้าใช้มอเตอร์ผสานกับระบบนิวเมติกที่พัฒนาขึ้นใหม่ โดยระบบสามารถสูบลมเข้าออกถุงลมเพื่อปรับองศาเก้าอี้ได้ในทุกมุม เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดเบาะนั่งหลังด้านซ้ายสามารถปรับพื้นที่วางขาเต็มที่
ทั้งยังมีระบบนวดผ่อนคลายพร้อมฟังก์ชั่นกดจุดแบบร้อน (เบาะที่นั่งด้านหลังซ้ายและขวา) ระบบถุงลมที่ติดตั้งภายในเบาะที่นั่งและพนักพิงจะพองลมเพื่อนวดหลังและต้นขาของผู้นั่ง นอกจากนั้นยังสามารถทำความร้อนเพื่อเพิ่มความสบายตัวผ่อนคลาย โดยสามารถเลือกโปรแกรมสำหรับการผ่อนคลายทั่วร่าง (Full Body Refresh, Full Body Stretch และ Full Body Simple) หรือผ่อนคลายเฉพาะส่วน (ร่างกายส่วนบน ร่างกายส่วนล่าง ไหล่และสะโพก) รวม 7 โปรแกรม
ระบบความบันเทิงของเบาะนั่งตอนหลัง ประกอบไปด้วยหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว 2 หน้าจอ ปรับตำแหน่งอัตโนมัติให้สอดคล้องกับตำแหน่งของเบาะนั่งเพื่อให้เห็นหน้าจอชัดเจน พร้อมด้วยเครื่องเล่นแผ่น Blu-ray ช่องใส่ SD card และสายต่อ HDMI ที่จะให้คุณเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ทั้งยังเพลิดเพลินไปกับวิดีโอ ดนตรี และสื่อบันเทิงที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือได้โดยใช้ Miracast หรือ DLNA (Digital Living Network Alliance)
ให้สุนทรีย์กับบทเพลงด้วยระบบเสียงรอบทิศทาง Mark Levinson QLI ในรูปแบบของระบบเสียงสามมิติ 16 ช่องทาง พร้อม ลำโพง 23 และเทคโนโลยีเสียงรอบทิศทาง QLI (Quantum Logic Immersion) เติมเต็มห้องโดยสารด้วยเสียงคุณภาพคมชัด โอบล้อมผู้ฟังด้วยเสียงสมจริงเป็นธรรมชาติพร้อมตำแหน่งของเสียงที่แม่นยำ มีมิติชัดเจน
ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร วี 6 สูบ มีให้เลือกถึง 3 รูปแบบ เครื่องยนต์เบนซินแบบใหม่รหัส V35A-FTS Twin turbochargers ให้กำลังสูงสุด 421 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,600-4,800 รอบ/นาที
ในรุ่น LS500 ส่วนรุ่น LS350 มาพร้อมรหัส 8GR-FKS เบนซิน Dual VVT-i 315แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิด 380 นิวตันเมตร ที่ 4,800-4,900 รอบ/นาที
ทั้ง 2 รุ่นส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ Direct Shift-10A แบบ 10 สปีด และ มี Paddle Shift ให้เปลี่ยนเกียร์ได้บนพวงมาลัย
อีกหนึ่งรูปแบบในรุ่น LS500h เป็นขุมพลังเบนซิน Hybrid รหัส 8GR-FXS ให้กำลังถึง 299 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิด 356 นิวตันเมตร ที่ 5,100 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว รุ่น 2NM ให้กำลังถึง 179 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร ได้กำลังสูงถึง 359 แรงม้าคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด Multi Stage Hybrid System
ทั้งนี้ยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่เพื่อช่วยให้ควบคุมระบบต่าง ๆ ง่ายแค่ปลายนิ้ว สามารถปรับแต่งสมรรถนะให้เหมาะกับสไตล์การขับขี่ของตัวเอง โดยเลือกได้ 5 โหมดได้แก่ Normal, Eco, Comfort, Sport S, และ Sport S+ นอกจากนี้โหมดปรับแต่งอิสระ (Customize) ยังทำให้ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระบบส่งกำลังรถยนต์ โครงสร้างตัวถังรถ และระบบปรับอากาศได้ตามที่ต้องการ
รวมถึงมีระบบ VDIM (การควบคุมการบังคับพวงมาลัยแบบผสมผสาน) ซึ่งเป็นระบบประมวณผลโดยรวมของการควบคุมเครื่องยนต์ เบรก การบังคับทิศทางและฟังก์ชั่นอื่น ๆ อาทิ EPS และ TRC ให้ทำงานพร้อมกันอย่างลงตัว เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเสริมสร้างความพึงพอใจในการขับขี่
ในส่วนของระบบอำนวยความสะดวกเริ่มจาก Hands-free power trunk lid แม้ว่าจะถือสัมภาระเต็มมือ เพียงแค่มีกุญแจไฟฟ้า ก็สามารถเปิดปิดฝากระโปรงท้ายได้อย่างอัตโนมัติ โดยแค่ขยับเท้าบริเวณใต้กันชนด้านหลังเท่านั้น
แผงควบคุมอเนกประสงค์ด้านหลังแบบสัมผัส จัดวางอยู่ในที่วางแขนตรงกลางเบาะหลังให้คุณควบคุมเสียงเพลง ระบบปรับอากาศ เก้าอี้และฟังก์ชั่นผ่อนคลาย ม่านกันแดดและไฟได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว
ม่านบังแดดไฟฟ้า ม่านบังแดดไฟฟ้าบริเวณบานหน้าต่างหลังจะปิดกระจกทั้งสองด้านเต็มทั้งบาน อีกทั้งบริเวณหน้าต่างบานเล็กด้านหลังซึ่งมีม่านบังแดดไฟฟ้าจะเปิดปิดสอดคล้องกับม่านบังแดดหน้าต่างหลังเพื่อสร้างความเย็นสบายและเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับเบาะโดยสารด้านหลัง
ปุ่มควบคุมการสั่งการแบบสัมผัส ออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายดายแบบสมาร์ทโฟนเพียงนิ้วสัมผัส โดยผู้ใช้สามารถลากนิ้วเข้าออกทำให้ขยายหรือย่อหน้าจอได้อย่างต่อเนื่องและเลื่อนอย่างง่ายดายเพื่อเลือกฟังก์ชั่นที่ต้องการ
ระบบปรับอุณหภูมิอัจฉริยะ สร้างความสบายเหนือระดับให้กับผู้นั่ง ระบบปรับอุณหภูมิอัจฉริยะสามารถตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้นั่งแต่ละคน ด้วยเซนเซอร์วัดแสงอินฟราเรด ปรับความสบายให้เหมาะสมกับผู้นั่งโดยทันที ทั้งนี้ยังตรวจจับแสงอาทิตย์ในช่วงเช้าและช่วงพลบค่ำเพื่อควบคุมอุณหภูมิในรถให้ความสบายอย่างต่อเนื่อง
ระบบถุงลมช่วงล่างควบคุมไฟฟ้า ( พร้อม access mode) นอกจากฟังก์ชั่นปรับความสูงของรถที่ปรับเป็นแบบ Normal และ High ได้แล้ว โหมด access จะช่วยยกตัวรถขึ้นอัตโนมัติเมื่อผู้โดยสารต้องการขึ้นหรือลง ทำให้การเข้าออกเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
ระบบเบาะยกตัวเลื่อนรองรับอัตโนมัติ (Power easy access system) ทำให้การเข้าออกจากรถเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้นระบบยกเบาะอัตโนมัติจะยกตัวเบาะนั่งขึ้นเมื่อผู้ขับขี่ออกจากรถ และจะคืนตำแหน่งเดิมเมื่อผู้ขับขี่ขึ้นรถ เบาะเสริมด้านข้างจะเปิดเบาะด้านนอกออกเพื่อลดการกดทับที่บริเวณต้นขาในขณะที่ขึ้นและลงรถ
ในด้านความปลอดภัย Lexus Safety System+ ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ล้ำหน้า อาทิ
Pre-Collision System เมื่อสัญญาณเรดาร์และกล้องหน้าตรวจจับได้ว่ารถมีแนวโน้มที่จะเกิดการชน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนคนขับและสั่งการตัวช่วยเบรกก่อนชนเมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรก ถ้าผู้ขับขี่ไม่สามารถเหยียบเบรกได้ ก็จะสั่งการใช้งานเบรกก่อนชนโดยอัตโนมัติ
Dynamic Radar Cruise Control นอกจากรักษาระดับความเร็วให้เสถียรแล้ว ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติจะใช้เรดาร์และเซนเซอร์กล้องเพื่อตรวจจับรถที่วิ่งอยู่ข้างหน้าและรักษาระยะห่างระหว่างรถให้พอดีด้วยความเร็วคงที่
Lane Keeping Assist (LKA) ระบบช่วยรักษาช่องทางวิ่งจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่โดยสั่นที่พวงมาลัย และขึ้นที่หน้าจอแสดงผลถ้าระบบประเมินว่าตัวรถยนต์กำลังจะข้ามเส้นแบ่งช่องจราจรโดยที่ไม่เปิดไฟเลี้ยว และช่วยประคองไม่ให้รถออกนอกเส้นแบ่งช่องจราจร
Two-Stage Adaptive High Beam System (AHS) เมื่อระบบตรวจพบว่ามีรถยนต์เข้ามาในรัศมีที่เปิดไฟสูง ระบบจะเปิดปิดไฟ LED ไฟสูง 8 ดวง และไฟต่ำ 16 ดวง ในแต่ละข้าง เพื่อกันไม่ให้ไฟสูงจากหน้ารถสาดไปยังรถที่วิ่งสวนมา วิธีนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจนโดยส่องไฟไปยังป้ายจราจรและวัตถุอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหน้ารถ โดยไม่ทำให้รถคันอื่นแสบตา
Panoramic View Monitor หน้าจอแสดงผลให้ผู้ขับขี่เห็นรถคันอื่นได้ชัดเจน โดยแสดงผ่านหน้าจอ EMV (Electro Multi-Vision) ขนาด 12.3 นิ้ว ช่วยให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบรถที่เห็นไม่ชัดในขณะนั้น
Automatic Rear Seat Reclining เมื่อไม่มีผู้โดยสารนั่งเบาะหลัง ระบบจะปรับเอนเบาะสอดคล้องกับการเข้าเกียร์ ทั้งยังปรับเบาะให้ต่ำลงเพื่อให้ผู้ขับขี่มองกระจกหลังได้ทัศนวิสัยกว้างขึ้น
Lexus LS ใหม่ มีสีภายนอกให้เลือกมากถึง 11 สี Sonic Quartz,Sonic Silver,Sonic Titanium,Black
Graphite Black Glass Flake,Red Mica Crystal Shine,Sonic Agate,Sleek Ecru Metallic,Amber Crystal Shine,Deep Blue Micaพร้อมสีใหม่ 2 สี ได้แก่
Manganese Luster สีใหม่
Sonic Agate สีใหม่
Lexus LS ใหม่ ตั้งราคาจำหน่ายทั้ง 4 รุ่น ไว้ดังนี้
LS500h รุ่น Executive Pleat 15,830,000 บาท
รุ่น Executive 14,500,000 บาท
LS500 รุ่น Executive 13,080,000 บาท
LS350 รุ่น Luxury 11,530,000 บาท
สัมผัสตัวจริงของ Lexus LS ใหม่ ได้ที่งานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอกซ์โป ครั้งที่ 34 ได้ตั้งแต่ วันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2560 ที่ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี