กิจกรรมสนุกๆแถมอิ่มบุญแบบนี้มีหรือที่จะพลาด ติดตามภารกิจทดลองขับรถเอสยูวีหรูระยะไกลไปกับwww.autoworldthailand.com ได้เลยครับ
ภารกิจนี้ใช้ชื่อว่า “Mercedes-Benz Star Charity” ซึ่งค่ายตราดาวจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี จริงๆแล้วจะเรียกว่าเป็นงานการกุศลประจำปีของค่ายฯก็ว่าได้ เพราะปลายทางจะเป็นการมอบทุนการศึกษา และเสริมด้วยกิจกรรมเล็กๆน้อยให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียน เยาววิทย์ แห่ง อ.กะปง จ.พังงา
ในส่วนของสื่อมวลชน ภารกิจหลักคือการทดสอบสมรรถนะของรถเอสยูวีหรูในเซกเมนต์ของ GL-Class รวมทั้งสิ้น 15 คัน 5 โมเดล ประกอบด้วย Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium, Mercedes-Benz GLE 350 d 4MATIC Coupé AMG Dynamic, Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic, Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Exclusive, Mercedes-Benz GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic, Mercedes-Benz GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD และ Mercedes-Benz GLA 250 AMG Dynamic ซึ่งทุกคนจะได้สัมผัสและทดลองขับกับรถรุ่นต่างๆอย่างจุใจ ตลอด 3 วันเต็ม บนเส้นทางกว่า 800 กม. จากกรุงเทพฯ โดยมีจุดหมายปลายทางที่จังหวัดพังงา
ก่อนออกเดินทาง สื่อมวลชนที่เข้าร่วมจะจับฉลากเพื่อเลือกรถทั้ง 15 คัน ว่าใครจะได้รถคันไหนไปครอบครอง โดยเป็นกติกาที่ใช้ตลอดการเดินทางทั้ง 3 วัน แบ่งออกเป็นช่วงเช้า และ ช่วงบ่าย เท่ากับ 1 วัน จะได้ขับคน 2 รุ่น และรถ 1 คัน จะมีสื่อมวลชนคันละ 2-3 คน เพื่อสลับผลัดเปลี่ยนกันขับ ซึ่งเปลี่ยนมือตามจุดพักรถที่ผู้จัดงานได้ตระเตรียมไว้ ระยะทางเฉลี่ยต่อวันร่วม 300 กม.
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium
เอสยูวีรุ่นใหญ่ ขับสบาย โดดเด่นเรื่องขุมกำลังและระบบรองรับ
หลังผลการจับฉลากพาหนะช่วงแรกถือเป็นรุ่นใหญ่สุดในทริพ นั่นคือ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ตระกูลเอสยูวีในฐานะที่เป็น “เอสยูวี ระดับเอส-คลาส”
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ถือเป็นพี่ใหญ่ประจำทริพ โดดเด่นด้วยการดีไซน์ที่ภูมิฐานมาพร้อมกับความสปอร์ต0kdชุดแต่ง AMG ประกอบด้วยกันชนหน้าและหลังแบบพิเศษ เสริมบันไดสำหรับเข้าออกห้องโดยสาร ติดตั้งล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาขนาด 21 นิ้ว
ออกแบบภายในกว้างขวาง โอ่อ่า ในรูปแบบของห้องโดยสารสำหรับ 7 ท่าน มากับแผงหน้าปัดของผู้ขับขี่แบบใหม่ซึ่งได้รับการออกแบบให้กลมกลืน พร้อมหน้าจอความบันเทิงขนาด 8 นิ้ว ควบคุมได้ด้วยระบบ Touch Pad แม้ว่าจะเป็นพี่ใหญ่ไซส์บิ๊ก แต่ก็มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างกล้องมองภาพรอบทิศทาง ช่วยในการจอดรถได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบรูปตัววี ความจุกระบอกสูบ 2,987 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิด 620 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC อีกทั้งยังมากับคุณสมบัติเด่นอีกมากมาย เช่น นวัตกรรมระบบเกียร์ DYNAMIC SELECT ช่วยให้ผู้ขับขี่เลือกโหมดการทำงานของระบบเกียร์ได้ถึง 6 แบบ
จุดเด่นที่ต้องพูดถึงคือระบบกันสั่นสะเทือน AIRMATIC ช่วยลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่ได้ดีมาก พอระบบทำงานร่วมกับ damping system ADS จะเพิ่มเสถียรภาพให้กับตัวรถขณะใช้งานได้อย่างชัดเจน ในขณะเข้าโค้งจะสัมผัสได้ถึงการยึดเกาะ ไม่โคลงหรือร่อนจากความสูง จึงทำให้การขับขี่คล่องตัวและรื่นรมย์ไปกับทุกสภาพเส้นทาง
สำหรับ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium จากการทดลองขับตั้งแต่เริ่มต้นเดินทาง จนแตะมือผลัดกับเพื่อนสื่อที่ไปด้วยกันบริเวณปากน้ำปราณบุรี บทสรุปของรถคันนี้คือทัศน์วิสัยกว้างไกล อัตราเร่งดีเกินคาดทั้งที่เป็นรถเอสยูวีใหญ่สุดในเซกเมนต์ แต่สิ่งที่ผมโปรดปรานสุดคือเรื่องของระบบช่วงล่างแบบ AIRMATIC ทำให้ควบคุมรถได้มั่นใจทุกสภาพเส้นทาง เมื่อเปลี่ยนจากคนขับมาเป็นผุ้โดยสาร ความใหญ่อลังการของห้องโดยสารเป็นอะไรที่นั่งได้สบาย เสียงรบกวนจากภายนอกเร็ดรอดเข้ามาน้อยมากจนแทบไม่ได้ยิน แค่นี้ผมก็หลับสบายไปยันถึงปลายทางวันแรกที่จ.ชุมพรกันเลยทีเดียว
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Exclusive
เอสยูวีรุ่นเสียบปลั๊ก ได้ทั้งลุย และแรง แถมทางเลือกเพื่อประหยัด
เข้าสู่การเดินทางของวันที่ 2 หลังจากจับฉลากเลือกรถ ได้ไปตกที่ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ยนตรกรรมกลุ่มเอสยูวีรุ่นแรกของทางค่ายที่ใช้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเป็นทางเลือกของการใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน จะเห็นผลอย่างชัดเจนเมื่อใช้งานในเมืองเป็นส่วนใหญ่
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Exclusive ถึงแม้จะไม่ใช่รุ่นท๊อฟที่มาพร้อมการตกแต่งจาก AMG แต่ภาพรวม แทบจะมองไม่เห็นความแตกต่าง รูปลักษณ์โดดเด่นด้วยลายเส้นเฉียบคม สะดุดตา หลังคาออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้ายเน้นการออกแบบเรียบหรู ล้ำสมัย ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ มาพร้อมล้ออัลลอยลาย 5 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey
ห้องโดยสารเน้นความหรูหรา สง่างาม แต่แฝงกลิ่นอายความสปอร์ตเอาไว้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ มาพร้อมระบบมัลติมีเดียอย่าง วิทยุซีดี MB Audio นอกจากนี้ในส่วนของเบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมหน่วยบันทึกความจำ หากพื้นที่เก็บสัมภาระไม่เพียงพอ เบาะนั่งด้านหลังยังสามารถพับได้ทั้ง 1:3/2:3 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บให้มากขึ้น
GLE 500 e 4MATIC Exclusive ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 2,996 ซีซี ให้กำลังแรงสูงสุด 333 แรงม้า และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้าที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อมด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลังซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำและฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด แบตเตอรี่ชุดนี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม.
ทีเด็ดอีกอย่างคือระบบความปลอดภัยแบบใหม่ ในชื่อ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมฟังก์ชัน Electronic Traction System 4ETS ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program – ESP),และ ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist)
การใช้งานของพี่รองในรุ่น GLE 500 e 4MATIC Exclusive แน่นอนว่าเป็นรถที่มีขนาดมิติย่อมลงมาจากพี่ใหญ่ การลองของกับระบบปลั๊กอินไฮบริดทำได้ในระยะสั้นๆ เอาแค่พอรุ้ว่าทำความเร็วได้เกือบ 130 กม./ชม. และใช้รูปแบบการใช้งานของระบบปลั๊กอินได้อย่างไม่ยากเย็น เลือกการทำงานได้ถึง 4 แบบ คือ Hybrid, E-Mode, E-Save แต่อย่างที่บอก ระบบนี้หากชาร์จไฟเต็มจะทำระยะทางได้เพียง 30 กม. ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในเมือง แต่ในรุปแบบการเดินทางไกล ระบบนี้คงต้องมองข้ามไปก่อน
ระยะทางไม่กี่กิโลเมตร หลังจากได้ลองระบบปลั๊กอินไฮบริด ผมเลือกที่จะปรับการใช้งานให้มาอยู่ในโหมด Sport+ ซึ่งนอกจากจะปล่อยกำลังจากเครื่องยนต์ที่ซุ่มอยู่ ระบบช่วงล่างยังเฟริ์มขึ้นอีกเยอะ ออกเดินทางจากชุมพร โดยมีจุดหมายของวันที่จ.พังงา สภาพเส้นทางในรูปแบบโค้งลัดเลาะภูเขา แม้จะไม่อันตรายแบบถนนทางภาคเหนือ การที่ช่วงล่างยึดเกาะถนนมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Exclusive มีสุนทรีย์แห่งการเดินทางเพิ่มขึ้นตามลำดับ
Mercedes-Benz GLC 250 d 4MATIC OFFROAD
หล่อ สันทัด สมรรถนะพร้อมลุย
ก่อนหน้าภารกิจล่องใต้จะเกิดขึ้นเพียง 1 วัน แฝดคนละฝาในรุ่น “GLC 250 d 4MATIC Coupé” แจ้งเกิดในบ้านเราได้อย่างสำเร็จ และรถรุ่นที่ 3 ที่มาตกอยู่ในความดูแลก็คือ Mercedes-Benz GLC 250 d 4MATIC OFFROAD พละกำลังอาจตกเป็นรุ่นพี่ทั้ง 2 แต่ทีเด็ดของรถคันนี้ อยู่ที่การใช้งานเพื่อเดินทางในรูปแบบ OFF ROAD ตามชื่อรุ่น
Mercedes-Benz GLC 250 d 4MATIC มาในรูปลักษณ์สวยงามและเรียบง่าย ผสมผสานความดุดัน สะดวกสบาย และหรูหรา โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างลงตัว มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันที่ดีไซน์ได้สะดุดตาในรูปแบบ LED fibre- ส่วนตอนกลางคืนระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System) ช่วยให้การขับขี่ พร้อมระบบเพิ่มความส่องสวางขณะเลี้ยวโคง (cornering light) ช่วยให้การขับขี่ทำได้ง่ายขึ้น แอบโหดเล็กๆด้วยการติดตั้งบันไดข้างและปลายท่อไอเสียแบบ 2 ท่อ
ภายในห้องโดยสารดีไซน์ ทันสมัย ตกแต่งด้วยลายไม้แบบ Open-pore brown ash wood เบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟาพร้อมหน่วยบันทึกความจำ อีกหนึ่งฟังค์ชั่นที่ขาดไม่ได้สำหรับสะท้อนถึงคำว่า Off Road คือ ระบบนำทางใช้งานไม่ยากอย่างที่คิด พร้อมการประมวลผลและอัพเดทข้อมูลฉับไว ในส่วนดีไซน์และอุปกรณ์อย่างอื่นอาจไม่แตกต่างไปจากพี่น้องในตระกูล GL-Class สักเท่าไหร่
GLC 250 d 4MATIC OFFROAD ใช้กำลังจากเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียงแบบ 4 สูบ ขนาด 2,143 ซีซี ให้แรงม้าสูงสุดที่ 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 -1,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ แบบ 9G-TRONIC ระบบรองรับเป็นแบบคอมฟอร์ด ซึ่งมีนิสัยออกไปทางนุ่มนวลกว่ารถทั้ง 2 รุ่นที่ได้ทำการทดสอบมา
สำหรับการเดินทางบนถนนสายเพชรเกษม ฟิลลิ่งของระบบช่วงล่างอาจจะนุ่มไปสักนิด แต่สมรรถนะในการลุย อาจทำให้ลืมความหรูไปได้เลย ความประทับใจอมาจากการหาโลเคชั่นถ่ายภาพลุยๆ ซึ่งไปได้ข้างทางแถวทางเข้าสู่ตัวเมืองจ.กระบี่ รูปแบบเป็นตลิ่งที่มีทั้ง ดิน หิน และทราย ริมน้ำ ความนุ่มนวลในการขับขี่บนเส้นทางออฟโรด แม้เป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้การสั่นสะเทือนส่งมาถึงท้องไส้ในกระเพาะอาหาร สำหรับผมคงมีไม่กี่ครั้งที่จะกล้านำรถหรูไปลองลุยขนาดนี้
Mercedes-Benz GLE 350 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic
เอสยูวีในคราบสปอร์ต เร้าใจทุกการขับขี่
สำหรับ Mercedes-Benz GLE 350 d 4MATIC Coupé AMG Dynamic เป็นรถคันสุดท้ายที่ได้ขับ แม้โดยรวมจะดูเป็นเอสยูวี แต่สมรรถนะค่อนช้างกระเดียดไปในรูปแบบของความสปอร์ตมากกว่าความอเนกประสงค์ ความเดิมเมื่อปีที่แล้ว ในครั้งที่ได้ทดสอบตอนทริพภุเก็ต ผมยังติดใจกับสมรรถนะของรถรุ่นเดียวกัน แต่ได้รับการตกแต่งมาแบบสุดขั้วในชื่อ GLE 450 AMG 4 MATIC Coupe มีแรงม้าติดตัวมาถึง 367 แรงม้า แต่ GLE 350 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic จะมีกำลังเพียง 258 แรงม้า และออฟชั่นอีกหลายอย่างจะหายไป
รูปลักษณ์ภายนอกชี้ชัดได้ว่าเป็นเอสยูวีพันธุ์สปอร์ตได้เต็มตัว จากความปราดเปรียว ออกแบบลายเส้นโค้งเว้าให้ความรู้สึกพลิ้วไหว พร้อมความดุดันจากกระจังหน้าขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG ซึ่งประกอบด้วย กันชนหน้า-หลัง ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ความลาดเอียงของหลังคาในแบบของรถสไตล์คูเป้แสดงถึงความเรียบหรูและล้ำสมัยพร้อมพาโนรามิคซันรูฟ ซึ่งสามารถเลื่อนเปิด-ปิดได้อัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า
GLE 350 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic ตกแต่งภายในสไตล์หรู เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงที่ยืดหยุ่นต่อการใช้งานและสามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย เบาะนั่งด้านหลังแบบ 3 ที่นั่ง สามารถพับได้แบบ 1/3 : 2/3 ตามความต้องการเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสัมภาระ รถรุ่นนี้ยังเติมความสะดวกและความบันเทิงด้วยระบบ COMAND Online และระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad
แม้ว่าเครื่องยนต์จะแรงเท่า GLE 450 AMG 4 MATIC Coupe ที่เคยลองไปเมื่อปีที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ GLE 350 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic ก็ไม่ได้มีสมรรถนะที่น้อยหน้า โดยเครื่องยนต์ที่ติดตั้งเป็นแบบดีเซล V6 เทอร์โบ ขนาดความจุ 2,987 ซีซี ให้กำลังแสูงสุดที่ 258 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิด 620 นิวตันเมตร ที่ 1,600 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาเพียง 7.0 วินาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า แบบ 9G-TRONIC ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Permanent all-wheel drive
GLE 350 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic มาพร้อมกับระบบ Dynamic Select เลือกสนุกได้กับโหมดการขับขี่ 4 แบบ คือ Individual สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้ Comfort ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน Slippery เหมาะกับการวิ่งบนถนนลื่น Sport เน้นการเพิ่มสมรรถนะและความเร้าใจในการขับขี่ นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบอากาศพร้อมระบบควบคุมระดับ ADS (Adaptive Damping System) แบบเดียวกับพี่ใหญ่ GLS 350 d 4MATIC AMG Premium
Mercedes-Benz GLE 350 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic เป็นรถคันสุดท้ายที่ต้องบอกไว้ก่อนว่าเป็นรุ่นที่ผมหมายปองอยากจะขับตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้ว่าโอกาสมาถึงเป็นไม้สุดท้าย แต่ก็ถือเป็นไฮไลท์ของการเดินทางทริพนี้ เนื่องจากสภาพเส้นทางจากจ.กระบี่ ซึ่งใช้เป็นที่ค้างแรมในคืนวันที่ 2 และ 3 ของการเดินทาง หากมายังอ.กะปง จ.พังงา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเยาววิทย์ ช่วงนี้สภาพเส้นทางค่อนข้างอันตราย จริงๆแล้วถ้าฝนไม่ตก จะเป็นเส้นทางที่ขับสนุกเนื่องจากมีทางโค้งแคบ และคดคี้ยว แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกแบบไม่ยอมหยุด จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
2 ชั่วโมงเศษๆ จากกระบี่ มาถึงยัง โรงเรียนเยาววิทย์ เด็กนักเรียนที่รออยู่ให้การต้อนรับด้วยการแสดงรูปแบบต่างๆ พร้อมกับคณะผู้บริหารบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย มร. ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร เตรียมส่งมอบเงินจำนวน 500,000 บาท เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษา สื่อมวลชนที่เข้าร่วมการเดินทางในทริพนี้ยังได้ร่วมกันปลูกต้นพริกไทยจำนวน 100 ต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการด้านการเกษตรที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต และถือเป็นการจบการเดินทางที่สมบูรณ์พร้อมอิ่มบุญไปตามๆกัน
ถึงแม้ว่าการเดินทางทดสอบรถเอสยูวีหรูในครั้งนี้ มีความจำเป็นเรื่องเวลาที่ทำให้พลาดการทดลองขับ Mercedes-Benz GLA 250 AMG Dynamic ไป 1 รุ่น แต่กับรถเอสยูวีในตระกูล GL-Class ที่ได้ลองขับทั้ง 4 รุ่น ก็ทำให้การเดินทางครั้งนี้ประทับใจไม่รู้ลืม ถ้าถามว่าชอบรุ่นไหน บอกได้เลยว่าทุกรุ่น ไม่ได้ตอบแบบเอาใจผู้จัด เพราะผมได้กล่าวโดยสรุปไว้ในแต่ละรุ่นว่ามีดีอะไร ไม่ดียังไง นอกจากเรื่องรถ สิ่งที่ชอบสุดคือรูปแบบของการจัดงาน เพราะกว่า 800 กม.ที่ได้ทำการทดสอบรถทั้งหมด 4 รุ่น ผมกล้าพูดว่าผู้จัดงานได้สร้างกิจกรรมในครั้งนี้ขึ้นมา นอกจากเป็นการเดินทางในรูปแบบคาราวานบุญ ยังเป็นทริพที่ผู้เข้าร่วมเดินทางทุกท่านมีความสุขกับการทดสอบรถหรูระยะทางไกลในทุกรูปแบบ