ถือเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ที่ได้เปิดให้มีการทดลองขับอย่างเป็นทางการกับ MITSUBISHI ALL NEW PAJERO SPORT การขับขี่ในครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่ MITSUBISHI PROVING GROUD สนามทดสอบรถยนต์ของค่ายมิตซูบิชิ ที่สร้างไว้เพื่อพัฒนารถยนต์แห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดการทดสอบเรื่องระบบต่างๆที่เป็นอาวุธลับเด็ดๆ ไว้ถึง 3 สถานี แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องการทดสอบ มาชมตัวรถกันก่อนว่ามีอะไรเด่น
ALL NEW PAJERO SPORT เป็นรถที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยวตามคอนเซปท์ DYNAMIC SHIELD สะดุดตาด้วยกันชน หน้ากระจัง และ โคมไฟ ที่ออกแบบไว้อย่างกลมกลืน สะท้อนให้เห็นถึงความสปอร์ตที่ทันสมัย เติมแต่งความหรูหราอลังการด้วยไฟหน้าแบบ Bi-LED ที่มากับระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ พร้อมไฟกลางวัน เส้นสายด้านข้างจากโป่งล้อหน้าถึงด้านหลัง แสดงถึงมัดกล้ามที่ให้ความแข็งแกร่ง จุดเด่นอีกหนึ่งแห่งมาจากด้านท้ายรถที่เป็นเอกลักษณ์ กับไฟท้ายแนวตั้งที่ส่องสว่างชัดเจนจากหลอด SPECTRUM LED
ห้องโดยสารกว้างขวางและนั่งสบาย เบาะนั่งออกแบบตากสรีระร่างกายในสไตล์ ERGO DESIGH เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ในรุ่น GLS-LTD จะหุ้มเบาะด้วยผ้าสีดำ ส่วนรุ่น GT และ GT PREMIUM จะหุ้มด้วยหนังแท้ ถึงแม้ว่าเบาะนั่งแถวที่สามจะเป็นจุดบกพร่องของรถพีพีวี แต่การแก้ไขปัญหานี้ขอชื่นชมทีมผู้ออกแบบที่ทำให้ทุกอย่างลงตัว เพราะนอกจากการเข้าไปยังตำแหน่งนี้จะทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากเพียงดึงปุ่มที่อยู่บริเวณพนักพิง เบาะนั่งแถวที่ 2 ก็จะทำการพับขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการเข้าออก ออกแบบเบาะนั่งแถวที่สามก็ไม่ถึงกับอึดอัดแต่อย่างใด ผมสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นรถเอนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ซึ่งนั่งสบายๆในทุกตำแหน่ง แถมยังเย็นฉ่ำตลอดการเดินทางเพราะมีช่องปรับอากาศส่งตรงไปทุกที่นั่ง
ถ้าคุณคิดว่าภายในของคันนี้ใช้รูปแบบร่วมกับกระบะร่วมค่าย ผมบอกได้เลยว่าคิดผิด เพราะไม่ได้มีส่วนละม้ายกับ TRITON เลยสักนิด ALL NEW PAJERO SPORT ยังต่อยอดอารมณ์สปอร์ต ความหรูหรา และ ทันสมัย จากภายนอกสู่ภายใน คอนโซลและแผงข้างเป็นสีดำเคลือบขอบวัสดุสีเทา พวงมาลัยเป็นแบบ 4 ก้าน ในรุ่น GT และ GT-PREMIUM ติดตั้งระบบควบคุมต่างๆไว้มากมาย ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ สวิทช์ควบคุมเครื่องเสียง และ สวิทช์ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิลชิฟท์ นอกจากนี้ยังมีระบบปรับอากาศแยกการทำงาน ซ้าย-ขวา พร้อมให้ความบันเทิงจากจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสามารถเล่น CD และไฟล์ MP3 รวมถึงเชื่อมต่อผ่านข่อง USB และระบบ Bluetooth ทั้งยังติดตั้งระบบนำทางผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีจอภาพแบบ WILD SCREEN พร้อมเครื่องเล่น CD และ รีโมท รวมถึงระบบหูฟังแบบอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
All New Mitsubishi Pajero Sport ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ที่มากับเทคโนโลยี Mivec Clean Diesel โดดเด่นด้วยเสื้อสูบและฝาสูบอลูมินัมอัลลอย น้ำหนักเบา ทนทาน แข็งแกร่ง ทั้งยังมีระบบวาล์วแปรผัน MIVEC ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ เพิ่มแรงม้าขึ้นด้วยขุมพลังของ VG Turbo ระบบส่งกำลังเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 8 Speed automatic transmission with Sport mode + Idle Neutral Control (INC) and G Censor พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ Super Selection 4WD Generation 2 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ทางมิตซูบิชิได้ทำการพัฒนาขึ้น ในรูปแบบปุ่มหมุน ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนได้อย่างสะดวกสบาย จาก 2WD เป็น 4WD แบบ Full-time All Wheel Control และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off-road ยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLC หรือ 4LLC ได้ตามความต้องการ
เกริ่นนำสำหรับข้อมูลคร่าวๆกันมาพอประมาณ ถึงเวลาที่จะได้ลองของจริงกับ ALL NEW PAJERO SPORT กันครับ ผมออกตัวไว้ก่อนว่าการทดลองขับครั้งนี้ยังไม่ได้เป็นการทดลองขับทางไกลแบบเต็มรูปแบบ แต่ก็พอเพียงสำหรับการเรียนรู้ถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ ระบบช่วงล่าง และตัวช่วยเรื่องความสะดวกสบาย รวมถึงฟังค์ชั่นความปลอดภัยที่เป็นอาวุธลับ ซึ่งพอจะนิยามสั้นๆได้ว่า”เด็ด” พร้อมแล้วก็รับชมกันเลย
STATION PERFORMANCE
สำแดงสมรรถนะเครื่องยนต์และการยึดเกาะ
เริ่มต้นกันด้วยเรื่องของความเร็ว จากที่ได้พูดคุยกับผู้ฝึกสอนถึงกติกาสำหรับสถานีนี้ที่ได้จำกัดความเร็วไว้ไม่เกิน 100 กม./ชม. ไม่ต้องห่วงว่าความเร็วเพียงแค่นี้จะสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า จับความรู้สึกกันง่ายๆหลังจากกระแทกคันเร่ง อาการพุ่งทะยานจากพละกำลังของเครื่องยนต์ทำได้ค่อนข้างจะชัดเจน ระหว่างการทดสอบยังมีอีกเรื่องซึ่งถือว่าเด่นไม่แพ้เรื่องอื่นๆ นั่นคือ การเก็บเสียงจากภายนอกที่เข้ามายังห้องโดยสารถึงแม้จะมีเสียงเร็ดรอดเมื่อครั้งเพิ่มรอบเครื่องยนต์แต่ก็ยังเป็นอะไรที่พอรับได้ และอีกเรื่องที่ชัดเจน คือระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ซึ่งปรับเปลี่ยนได้นุ่มนวล การใช้งานระบบแพดเดิลชิฟท์ทำได้ง่ายและสะดวก หากต้องการออกจากระบบ ทำแค่เพียงกดปุ่มบวกค้างไว้ ระบบจะตัดการทำงานไปยังระบบเกียร์อัตมัติทันที
การเข้าโค้งด้วยความเร็วเป็นอีกรูปแบบของการทดสอบ หลายคนยังสงสัยกันว่ารถรูปทรงนี้อาจจะมีการโคลงหรือร่อนบ้างหรือไม่ตามหลักของแอโรไดนามิก การเข้าโค้งด้วยความเร็ว 70 กม./ชม. ไม่ได้ถือว่าเป็นความเร็วสูง แต่องศาและเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ถือว่ายากเอาการ การถ่ายสมดุลจากระบบช่วงล่างของ ALL NEW PAJERO SPORT ทำได้อย่างลงตัว รวมถึงการควบคุมจากพวงมาลัยไปยังระบบรองรับทำได้แม่นยำตามทิศทางที่กำหนด
STATION SAFETY
เรียนรู้เรื่องอาวุธลับ
จากที่ทำความคุ้นเคยจากการขับขี่ สถานีที่ 2 เป็นเรื่องของระบบตัวช่วยความปลอดภัยที่ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ไม่หนีรถยุโรปแบรนด์ดังสักเท่าไหร่ เริ่มต้นด้วยระบบ BLIND SPOT WARNING หรือระบบสัญญาณเตือนจุดอับ ทดลองกันโดยมีรถอีกคันขับขนาบข้าง หากเปิดไฟเลี้ยวในขณะนั้น ระบบจะแสดงภาพขึ้นที่มุมกระจกมองข้างและส่งเสียงร้องมาในห้องโดยสาร ต่อด้วยระบบ FORWARD COLLISION MITIGATION SYSTEM คอยทำหน้าที่เตือนการชนทางด้านหน้าและช่วยชะลอความเร็ว หากเซ็นเซอร์ตรวจจับกับชิ้นส่วนโลหะ หรือ กระจกที่ทำมุมตั้งฉาก โดยจะส่งเสียงเตือนและทำการหยุดรถทันที (ระบบนี้จะทำงานในกรณีที่ใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม.) รวมถึงระบบ ULTRASONIC MISACCELERATION MITIGATION SYSTEM ซึ่งคอยทำหน้าที่ตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีตัวช่วยเรื่องความสะดวกสบายกับระบบ MULTI AROUND MONITOR ซึ่งเป็นกล้องมองภาพรอบคันพร้อมแสดงเส้นทิศทางการเคลื่อนที่ของรถโดยใช้กล้องที่ติดตั้งไว้รอบตัวรถทั้ง 4 จุด ประมวลผลและส่งภาพมาที่จอทัชสกรีนในมุมมองแบบ Bird Eye View
STATION COMFORTABLE
ออกรสชาติของระบบรองรับและเกียร์ขับสี่
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าสนามทดสอบแห่งนี้มีไว้พัฒนารถยนต์นอกประเทศญี่ปุ่นแห่งแรก เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าสภาพพื้นผิวของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ที่แห่งนี้ได้จำลองไว้ทุกรูปแบบ สถานีนี้จึงเป็นเรื่องของการรับรู้ถึงสมรรถนะของระบบช่วงล่างโดยเฉพาะ สภาพพื้นผิวของเส้นทางที่ได้ทำการจำลองไว้ทั้ง ลาดยางเรียบและเป็นลอน พื้นผิวขรุขระหลากหลายรูปแบบมีให้ลองครบ อาการที่สัมผัสได้ขณะอยู่หลังพวงมาลัยบอกได้อย่างไม่อายคือรับรู้ได้ทุกจังหวะ แต่ก็ไม่ใช่ในรูปแบบของม้ากระโดด โยกเยกไปมา ต้องยกยอดความดีให้กับระบบรองรับอิสระปีกนกสองชั้นพร้อมคอยย์สปริงและเหล็กกันโคลงที่ประจำการอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังใช้แบบทรีลิงค์ทอร์คอาร์ม พร้อมสปริงและเหล็กกันโคลง ที่รอบรับการกระแทกได้อย่างดีและแน่นหนึบในขณะเดียวกัน
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถือเป็นพระเอกอีกหนึ่งเรื่อง ถึงแม้ไม่ได้จำลองรูปแบบการลุยในสไตล์ออฟโร๊ด แต่การใช้งานระบบนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงเอามือบิดสวิทช์ควบคุมที่อยู่บริเวณคอนโซลเกียร์จากตำแหน่ง 2H มาเป็น 4H 4HLC และ 4LLC ซึ่งสามารถทำได้ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. แถมอีกนิดกับทีเด็ดสุดท้ายคือเรื่องของวงเลี้ยว สำหรับผู้ที่เคยใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์ เมื่อเข้าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเมื่อไหร่ ผมที่ได้อย่างที่ไม่ต้องคาดหวังคือวงเลี้ยวที่กว้างขึ้นกว่าเดิม แต่สำหรับ ALL NEW PAJERO SPORT ระบบขับเคลื่อน 2H และ 4H จะมีวงเลี้ยวที่แคบเท่ากันเพียง 5.6 ม.