มาดูกันครับว่า รถซีดานเรือธงจากค่ายฮอนด้าทั้ง 2 รุ่นนี้ แบบไหนจะให้ความคุ้มค่าที่มาพร้อมสมรรถนะโดนใจในสไตล์เดียวกับตัวคุณ www.autoworldthailand.com มีรายงาน
สำหรับที่มาที่ไปของ ALL NEW HONDA CIVIC ผมคิดว่าแทบทุกท่านที่หมายปองรถรุ่นนี้คงทราบกันดีและคงไม่ต้องสาธยายอะไรให้มากมาย การประชันในครั้งนี้เราได้นำตัวทอพของทั้ง 2 เครื่องยนต์ได้แก่รุ่น 1.8 EL และ 1.5 TURBO RS มาเป็นโจทย์ ในด้านของมิติตัวรถไม่มีความแตกต่างตามขนาดความยาว 4,630 มม. กว้าง 1,799 มม. และสูง 1,416 มม. ทั้งยังมีความสูงใต้ท้องรถเท่ากันคือ 125 มม. รูปลักษณ์เริ่มเห็นความแตกต่างบริเวณหน้ากระจัง รุ่น 1.8 EL จะหรูหราด้วยสีโครเมียม โคมไฟใช้แบบโปรเจคเตอร์เลนส์ ส่วนรุ่น 1.5 TURBO RS นั้นรมดำเงา โคมไฟใช้หลอดแอลอีดี มาพร้อมกับสเกริ์ตล่างสไตล์ RS (Racing Sport)
มุมมองด้านข้างใกล้เคียงกันแต่ถ้าสังเกตให้ดี ชุดแต่งที่เป็นสเกริ์ตรอบคันทำให้รุ่น 1.5 Turbo RS ดูสปอร์ตและแลดูเตี้ยกว่ารุ่น 1.8 EL จุดต่างอีกหนึ่งแห่งคือกล้องที่กระจกมองข้างด้านซ้ายในรุ่น 1.5 Turbo RS และอีกหนึ่งจุดคือล้ออัลลอยลาย 5 ก้านต่างขนาด รุ่น 1.8 EL เป็นขนาด 16 นิ้วหุ้มยาง 215/55 และ 1.5 Turbo RS เป็นขนาด 17 นิ้ว หุ้มยางขนาด 215/50
ด้านหลังของรถทั้ง 2 รุ่นให้ความสปอร์ตจนเห็นได้ชัด รุ่น 1.8 EL ดีไซน์บั้นท้ายได้โดดเด่นและงดงาม ไฟท้ายโค้งรูปตัวซีใช้แผงทับทิมและหลอดแอลอีดี ส่วนรุ่น 1.5 Turbo RS มีทุกอย่างเฉกเช่นเดียวกับ 1.8 EL แต่มีสปอยเลอร์หลังบนฝากระโปรงพร้อมพร้อมโลโก้ “RS” สีแดง รวมถึงท่อไอเสียคู่ที่ใช้งานได้จริงทั้งฝั่งซ้ายและขวา เสริมมาดดุดันได้อย่างลงตัว
ALL NEW CIVIC มากับห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย ใกล้เคียงกับรถในระดับ D-Segment เน้นภายในสีดำและใช้วัสดุหุ้มเบาะนั่งเป็นหนังแท้ เบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ส่วนผู้โดยสารตอนหน้าปรับได้ 4 ทิศทางซึ่งมีเฉพาะรุ่น 1.5 Turbo RS เท่านั้น วัสดุตกแต่งคอนโซลแบบ Piano Black ชุดแดชบอร์ดเป็นมาตรวัดและจอแสดงข้อมูลแบบ TFT รุ่น 1.8 EL จะใช้ไฟหน้าจอสีฟ้า ส่วน 1.5 Turbo RS จะเป็นสีแดง
พวงมาลัยเป็นอีกหนึ่งส่วนที่แตกต่าง พื้นฐานเดิมจะเป็นแบบมัลติฟังค์ชั่นมีทั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงซึ่งพิเศษด้วยการปรับระดับเสียงแบบ SWIPE ปรับลดเสียงได้ด้วยการสัมผัส ติดตั้งระบบสวิทช์ควบคุมและสังการระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ รุ่น 1.5 TURBO RS มีออฟชั่นพิเศษคือระบบแพดเดิลชิฟท์ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์
คอนโซลกลางติดตั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติ รุ่น 1.5 TURBO RS สามารถปรับอุณหภูมิแยกอิสระทั้ง ซ้าย และ ขวา ทั้ง 2 รุ่นมีหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วแบบ ADVANCED TOUCH รองรับระบบ APPLE CARPLAY รวมถึงการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI ถ่ายทอดเสียงผ่านลำโพงถึง 8 ตัว ในรุ่น 1.5 TURBO RS มีฟังค์ชั่น HONDA LANE WATCH ที่แสดงภาพทุกครั้งเมื่อยกก้านไฟเลี้ยวซ้าย ส่วนรุ่น 1.8 EL มีแค่ฟังต์ชั่นกล้องมองหลังขณะเข้าเกียร์ถอยหลัง
ขุมพลังซึ่งถือเป็นจุดเด่นของ ALL NEW HONDA CIVIC รุ่น 1.8 EL ใช้เครื่องยนต์เบนซินซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ SOHC i-VTEC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาดความจุ 1,799 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 174 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที พร้อมระบบส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้การขับขี่ที่เร้าใจและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85
พลังขับเคลื่อนของรุ่น 1.5 TURBO RS ทางวิศวกรของฮอนด้าเคลมว่าเครื่องยนต์รุ่นนี้ทำงานทัดเทียมกับเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร โดยใช้เครื่องยนต์เบนซินดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ DOHC VTEC TURBO แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบ Dual-VTC แปรผันเวลาการเปิด-ปิดวาล์วทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย ความจุ 1,498 ซีซี อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จแบบ Single-Scroll เซทบูสต์เทอร์โบไว้ที่ 1.1 บาร์ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 22.4 กก.-ม. ที่ 1,700-5,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบเดียวกับรุ่น 1.8 EL แต่ได้รับการปรับเซทเพื่อสนองต่อความต้องการของเครื่องยนต์เทอร์โบ ทั้งนี้ในรุ่น 1.5 TURBO RS รองรับได้สูงสุดเพียงเชื้อเพลิงแบบ อี20
ในส่วนของช่วงล่างใช้ระบบกันสะเทือนแบบอิสระพร้อมเหล็กกันโคลงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลังใช้มัลติลิงก์ รายละเอียดแบบเจาะลึกคือการ ใช้โช๊คอัพด้านหน้าที่ให้ค่าความหนืดเท่ากัน ส่วนด้านหลังปรับตั้งค่าความหนืดไว้คนละแบบ รวมถึงค่าเคและขนาดสปริงต่างกัน เพื่อสนองฟิลลิ่งการขับขี่แบบ RACING SPORT ในรุ่น 1.5 TURBO RS
ตัวช่วยการขับขี่และระบบความปลอดภัยในรุ่น 1.5 TURBO RS มีถุงลมและม่านถุงลมด้านข้าง ส่วนระบบเบรคเอบีเอสและกระจายแรงเบรค อีบีดี รวมถึงระบบช่วยควบคุมขณะเข้าโค้งและระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชันติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ก้าวข้ามไปอีกขั้นด้วยความปลอดภัยเหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นในระดับเดียวกัน อาทิ ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) และความสะดวกสบายล่าสุดกับเทคโนโลยี Engine Remote Start ซึ่งทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเปิดระบบปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมทซึ่ง ALL NEW HONDA CIVIC ทั้ง 2 รุ่น มีให้ทัดเทียมกัน
3 วัน 2 คืน กับการลองของแบบจริงจัง
พอทราบถึงข้อมูลของตัวรถ อุปกรณ์ และฟังค์ชั่นการใช้งานที่มีความแตกต่างกันไปแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาลองของ ผมนำรถทั้ง 2 คันนี้มาทดสอบการใช้งานในเมืองและปริมณฑลระยะเวลา 3 วัน 2 คืน รวมเส้นทางที่ใช้กว่า 200 กม. เพื่อหาข้อเปรียบเทียบถึงการตอบโจทย์การใช้งานว่า ALL NEW HONDA CIVIC รุ่นไหนจะมีความคุ้มค่ามากที่สุด
เอาเป็นว่าผมรวมทั้ง 2 รุ่นโดยแบ่งแยกความแตกต่างไว้ชัดเจน ก่อนที่จะเข้าไปภายในตัวรถถือโอกาสลองระบบ ENGINE REMOTE START ต้องบอกว่าเทคโนโลยีนี้ทำขึ้นมาเพื่อความสบายของผู้ใช้รถอย่างแท้จริง เพราะสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์รวมถึงเป็นการเปิดระบบปรับอากาศโดยไม่จำเป็นที่จะต้องเอาตัวคนขับเข้าไปในรถที่จอดตากแดดและเป็นฟังค์ชั่นนี้ติดตั้งมาให้ใน ALL NEW HONDA CIVIC ทุกรุ่น
หลังจากเปิดแอร์เย็นฉ่ำทั่วห้องโดยสารก็ได้เวลาลองขับเพื่อหาความแตกต่าง ฟังค์ชั่นเพื่อความปลอดภัยในรุ่น 1.5 TURBO RS คือระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าส่งเสียงอันไพเราะ “กรุณาคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยค่ะ” เพราะมัวแต่คุยเพลินๆกับผู้ร่วมเดินทางแล้วเผลอออกตัวขณะที่ยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ระบบจะมีหน้าที่ในการตรวจจับน้ำหนักที่กดทับบนเบาะนั่ง อีกฟังค์ชั่นที่น่าสนใจคือ HONDA LANE WATCH โดยประมวลผลผ่านกล้องบริเวณกระจกมองข้างด้านซ้าย แสดงภาพมายังหน้าจอสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว ทุกครั้งที่เปิดไฟเลี้ยวซ้าย ส่วนในรุ่น 1.8 EL ไม่มีทั้ง 2 ระบบที่กล่าวไว้
โดยปกติแล้วระบบเกียร์ซีวีทีเป็นอะไรที่ผมไม่ปลื้มมาแต่ไหนแต่ไร และยังไงก็เป็นอคติอยู่ในใจว่าความดิบ โหด จากเครื่องยนต์ถูกลดทอนลงเพราะเกียร์อัจฉริยะระบบนี้ แต่ผมคงต้องปรับทัศนคติใหม่ เพราะการที่ได้ลองแบบจริงจัง ทำให้รู้ว่าเกียร์ซีวีทีที่มาจากเทคโนโลยี EARTH DREAMS ของฮอนด้า นอกจากให้ความนุ่มนวลแบบไร้รอยต่อ ในขณะที่คิกดาวน์ความชาญฉลาดของระบบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องมาสร้างความคุ้นเคยอย่างระบบเกียร์ซีวีทีจากรถยนต์ของค่ายคู่แข่งหลายๆค่าย
อย่างที่ผมบอกไว้ว่าการทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ใช้แบบการขับขี่ทางไกลเพื่อหาอัตราสิ้นเปลือง กลับกันผมได้ใช้เส้นทางในเมืองที่มีสภาพการจราจรที่หลากหลายโดยใช้เส้นทางเดียวกันทั้ง 2 รุ่น เพื่อขจัดปัญหารบกวนต่างๆ อาทิ รูปแบบการทำความเร็ว และ สภาพการจราจร ส่วนใหญ่ตัวแปรอยู่ที่ความแออัดจากจำนวนผู้ใช้รถบนถนน ความเร็วที่ใช้คงไม่ได้เร็วมากนัก พอมีบางช่วงถนนโล่งบนทางด่วนถึงได้กระแทกคันเร่งเพื่อลิ้มลองความแรงจากเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น ซึ่งทั้งหมดเป็นการสะท้อนใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น 100 กม./ชม.น่าจะเป็นโจทย์สำหรับการใช้งานจริง และค่าที่ได้ซึ่งแสดงในหน้าจอ TFT ของรถทั้ง 2 คันนี้มีความต่างกันประมาณ 1 กม./ลิตร รุ่น 1.8 EL แสดงไว้ 11.6 กม./ลิตร ที่รอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,700 รอบ ต่อนาที และในรุ่น 1.5 TURBO RS แสดงไว้ที่ 10.7 กม./ลิตร โดยใช้รอบเครื่องยนต์ใกล้เคียงกันคือไม่เกิน 1,800 รอบต่อนาที
ฟิลลิ่งการขับขี่ถือว่าต่างกันชัดเจน ประเด็นนี้เป็นผลจากการปรับค่ายืดยุบของโช๊คอัพโดยมีวัตถุประสงค์จากการเป็น RACING SPORT ที่เซทค่าการเกาะถนนหนึบในรุ่น 1.5 TURBO RS แต่รุ่น 1.8 EL ระบบรองรับยังคงให้ความนุ่มนวลจนสัมผัสได้ และในประเด็นนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่จะต้องคิดให้หนัก
3 วัน 2 คืน ที่ผมได้อยู่กับ ALL NEW HONDA CIVIC ทั้งรุ่น 1.8 EL และ 1.5 TURBO RS ผมขอสรุปไว้อย่างนี้ครับ ในด้านของรูปลักษณ์นั้นหากดูผิวเผินแทบไม่ต่างกัน จุดที่ชัดเจนคือชุดแต่งบอดี้พาร์ทที่ทำให้ 1.5 TURBO RS ดูดุดัน ซึ่งฮอนด้ามีทางเลือกในส่วนของชุดแต่ง MODURO ถือเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่ชอบการตกแต่ง ออฟชั่นสำคัญที่แตกต่างระหว่างรถทั้ง 2 คันนี้ได้แก่ HONDA LANE WATCH ที่แสดงภาพทุกครั้งเมื่อยกก้านไฟเลี้ยวซ้าย ปลายท่อไอเสียคู่ซ้าย-ขวา ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ระบบเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของม่านถุงลมด้านข้างซึ่งเป็นการป้องกันความปลอดภัยได้อีกระดับ
6 ออพชั่นที่มีในรุ่น 1.5 TURBO RS อาจมีบางอย่างติดตั้งได้ตามร้านตกแต่งรถยนต์หรือจากโชว์รูมผู้จำหน่าย แต่อีกหลายๆอย่างคงหาไม่ได้และไม่มีจำหน่ายทั้งโชว์รูมและร้านตกแต่ง ถ้าถามกลับว่า ระบบเหล่านั้นมีความจำเป็นต่อการใช้งานมากน้อยเพียงใด ส่วนตัวผมเองนั้นต้องบอกว่าถ้าจะมีก็แต่ระบบเกียร์แพดเดิลชิฟท์ที่ให้สนุกและเร้าใจไปกับการขับขี่ ส่วน HONDA LANE WATCH ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ยังไงก็ต้องมองประกอบไปกับกระจกมองข้าง
อย่างไรก็ตามความแตกต่างด้านราคาจำหน่ายซึ่งห่างกันอยู่เกือบ 250,000 บาท โดยรุ่น 1.8 EL ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 959,000 บาท และรุ่น 1.5 TURBO RS จำหน่ายในราคา 1,199,000 บาท น่าจะทำให้ขบคิดได้ไม่มากก็น้อย เพราะผลต่างในด้านราคาหากนำไปซื้อชุดบอดี้พาร์ทรอบคัน รวมถึงโช๊คอัพและสปริงจากสำนักแต่งชื่อดังที่มีกลาดเกลื่อนเมืองไทย อาจจะทำให้คุณเลือกแต่งรถได้ตามใจชอบเรียกว่าหล่อได้แถมยังมีเงินเหลือ
หากคลั่งไคล้ในความเร็ว และเร้าใจ รุ่น 1.5 TURBO RS น่าจะตอบโจทย์ให้คุณแบบไร้ข้อกังขา ทั้งสมรรถนะที่จัดจ้านมากับออฟชั่นจัดเต็มจนไม่จำเป็นต้องไปตกแต่งอะไรเพิ่ม เพียงเท่านี้ก็หล่อได้อย่างมีสไตล์
ถ้าถามว่าผมเลือกรุ่นไหน คำตอบคือรุ่น 1.8 EL สมรรถนะอาจตกเป็นรองในด้านความจื๊ดจ๊าดและเร้าใจ แต่ก็ใช้ว่าจะต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่ออกตัวเช่นนี้เพราะตอนแอบกระแทกคันเร่งเหลือบไปดูความเร็วที่ค่อยทะยานทะลุ 180 กม./ชม.เป็นอะไรที่เพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว เหลือเงินเอาไว้แต่งรถได้กว่า 200,000 บาท ผมคงไปเลือกหาชุดแอโรพาร์ท ล้อแมก และโชคอัพซิ่งตามสไตล์ตัวเอง แล้วคุณล่ะครับเลือกได้หรือยังว่า ALL NEW HONDA CIVIC รุ่นไหนตอบโจทย์ความต้องการให้กับคุณ