Nissan Navara 2022 เสริมความแกร่ง เติมเต็มสไตล์ดุดัน

รีวิว Nissan Navara 2022 ที่เสริมความเข้ม เติมเต็มความแกร่งกับรุ่นพิเศษ Nissan Navara Black edition ซึ่งมาพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีอัจฉริยะด้านความปลอดภัย และความสะดวกสบายกับ “360° Safety Shield” รวมถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงหรือ Advance Driver Assistance System (ADAS) และขุมพลังที่ไม่เป็นรองใคร จากเครื่องยนต์เครื่องยนต์ดีเซล YS23DDTT ความจุ 2.3 ลิตร DOHC เทอร์โบคู่ ให้กำลัง 190 แรงม้า ระบบส่งกำลังเป็นแบบ 7 จังหวะ ราคาที่ปรับเพิ่ม 34,000-45,000 บาท จะคุ้มค่าสำหรับฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมมาขนาดไหน ไปดูรายละเอียดกันได้เลย

นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เติม 3 จุดเด่น ให้กับ Nissan Navara 2022 ซึ่งประกอบไปด้วย

1. เสริมความแกร่งเข้มกับโฉมใหม่ ของ แบล็ค อิดิชั่น ด้วยชุดแต่งโทนสีดำภายนอกรอบคัน เพิ่มความโฉบเฉี่ยว สปอร์ต ดุดัน แข็งแกร่ง และ เร้าใจยิ่งกว่าเดิมเสริมการตกแต่งภายในด้วยวัสดุพรีเมียมโทนสีดำสอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอก

2. ความปลอดภัยรอบคันกับ 360° Safety Shield พร้อมกับ feature ความสะดวกสบาย ครบครัน

3. เต็มสมรรถนะจากเครื่องยนต์ 2.3 l twin turbo ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร พร้อมความทนทานในทุกการใช้งานหนักจากโครงสร้างแบบโมโนเฟรม แชสซีทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully Boxed Frame) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกระบะแกร่งของนิสสัน

เสริมทัพด้วยรุ่นพิเศษ Nissan Navara Black Edition เติมสปอร์ตเร้าใจกว่าเดิม

จัดเต็มกับชุดแต่งโทนสีดำสุดเท่รอบคัน ตั้งแต่กระจังหน้าแบบ interlock กระจกข้าง มือจับประตู กันชนหน้าด้านล่าง มือจับประตูท้าย และซุ้มล้อ เสริมโฉบเฉี่ยวกับสติ๊กเกอร์ตกแต่ง Black Edition สีดำลายกราฟิกดุดันรอบคัน

ไฟหน้าแบบ Quad-eyed LED พร้อม Day-time Running Light และไฟท้าย LED แบบ light guide ที่นอกจากจะให้ความสว่างเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำ แล้วยังมีดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ล้ออัลลอยสีดำมาดเข้มขนาด 18 นิ้วลายใหม่ เพิ่มสไตล์เท่ และยังมีชุดคิ้วซุ้มล้อ (over fender) เป็นอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษรวมทั้งมีเสาอากาศแบบครีบฉลามที่ดูทันสมัยและมีประสิทธิภาพ

ภายในคงความเท่ดุดันเช่นเดียวกับรูปลักษณ์ภายนอกด้วยชุดแต่งโทนสีดำเสริมตามจุดต่างๆในห้องโดยสาร ได้แก่ ช่องแอร์มือจับประตู ที่วางแก้ว ฐานเกียร์ ที่พักแขนที่ประตู และขอบประตู

Nissan Navara 2022 ทุกรุ่นออกแบบภายใต้แนวคิด“Unbreakable Design” ที่สื่อถึงอารมณ์และการใช้งานจริงด้วยรูปโฉมภายนอกที่ดูบึกบึน ดีไซน์ซุ้มล้อให้มีขนาดใหญ่ดูโดดเด่นเข้ากับรูปลักษณ์แบบรถยนต์ออฟโรด กระจังหน้าแบบ Interlock ขนาดใหญ่เสริมความดุดันสะท้อน Design DNA ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การออกแบบสำหรับรถกระบะของนิสสันยุคใหม่

ออกแบบภายในอย่างมีเอกลักษณ์ และสะดวกสบายอย่างมีสไตล์ภายในห้องโดยสารเงียบสงบด้วย Noise-
reducing acoustic glass ลดเสียงรบกวนจากภายนอก เพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งภายในด้วยหนังแท้รอบห้องโดยสารโทนสีดำ เบาะนั่งพรีเมี่ยมบุด้วยวัสดุพิเศษ Quole Modure ใหม่ ไม่สะสมความร้อน ทำให้นั่งสบายตลอดการเดินทาง เสริมความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งปรับไฟฟ้า (Power Seat) สำหรับผู้ขับขี่

ในรุ่น PRO-4X และ PRO-2X เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Zero Gravity ช่วยลดอาการเมื่อยล้าขณะขับขี่ทางไกล ตลอดจนที่นั่งด้านหลังเพิ่มความสบายด้วยดีไซน์ใหม่นุ่มสบาย (Comfort rear seatingcushions) มีที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ตอบโจทย์ด้านอรรถประโยชน์ของการใช้งานให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

ทุกรุ่นได้รับการติดตั้งมาตรวัดที่มีหน้าจอสีแสดงผลแบบ TFT สามมิติ ขนาด 7 นิ้วโดยสามารถแสดงข้อมูลได้อย่าง ระบบเตือนนำทางแบบ Turn-by-Turn Direction, ระบบช่วยขับขี่ต่าง ๆ, ระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้าจากการขับขี่ (Intelligent Driver Alertness) รวมถึงพอร์ต USB Type C บริเวณคอนโซลกลาง

ความทันสมัยจาก NissanConnect สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto** เพื่อใช้งานแอพพลิเคชั่น พร้อมระบบนำทาง (Navigation system) หรือแอปพลิเคชันฟังเพลงต่าง ๆ ผ่านจอเครื่องเสียงรถยนต์หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และมีระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition)

เติมเต็มเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน “360° Safety Shield” ให้กับทุกรุ่นย่อย พร้อมความสะดวกสบายได้แก่
-เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning -IFCW)
-เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB)
-เทคโนโลยีป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention –IBSI)
-เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)
-เทคโนโลยีควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention – ILI)
-เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง Lane Departure Warning (LDW)
-เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross TrafficAlert – RCTA)
-เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM)
-Off-Road Meter
-เทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD)
-เทคโนโลยีช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
-เทคโนโลยีควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันHill DescentControl (HDC)

ครบครันกับ Passive Safety จากเทคโนโลยีความปลอดภัย Safety Shield

ทั้ง TCS, VDC, และ TSA ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control(TCS) ควบคุมล้อให้ค่อยๆหมุนออกตัวโดยไม่เกิดอาการล้อหมุนฟรี มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ Vehicle Dynamic Control (VDC) ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักเลี้ยวกะทันหัน รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง Trailer SwayAssist (TSA)

ระบบเบรก ABS, EBD และ BA ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (Anti-lock Braking System – ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (ElectricBrake Force Distribution System – EBD) ระบบเสริมแรงเบรก(Brake Assist – BA)

ถุงลมนิรภัย SRS 7 จุด ประกอบด้วย คู่หน้า / ข้าง และม่านข้างซ้ายขวา และบริเวณหัวเข่าของผู้ขับขี่ โดยถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งในทุกรุ่น เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts) เสริมความปลอดภัยด้วยจุดยึดเบาะที่นั่งเด็กแบบ ISOFIX เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารที่เป็นเด็ก

ขุมพลังก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น เครื่องยนต์ YS23DDTT แบบ 4 สูบ ความจุ 2.3 ลิตร DOHC เทอร์โบคู่ สมรรถนะแรง ให้กำลังสูงสุด 190 hp(Ps) และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร (Nm) เกียร์อัตโนมัติแบบ 7 สปีด พร้อมโหมดแมนนวล (M mode) ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบธรรมดา นอกจากนี้ยังประหยัดเชื้อเพลิง และรองรับน้ำมันดีเซลทุกแบบทั้ง B7, B10และ B20

ขณะที่รุ่น King Cab Calibre และ Double Cab เกียร์ธรรมดา 6 สปีด มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล YS23DDT 2.3 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC VGS พร้อมเทอร์โบชาร์จที่ให้กำลังสูงสุด 163 Hp และแรงบิดสูงสุด 403 Nm

เทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 (4WD) ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนจากการขับขี่แบบสองล้อ หรือ two-wheel drive (2H) เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือ four-wheel drive ได้ทั้ง 4H และ 4L ผ่าน Rotor Switch ที่บริเวณแผงคอนโซลกลาง พร้อม ฟังก์ชัน shift-on-the-fly ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ขณะขับขี่ (จาก 2H เป็น 4H)

เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ขณะที่โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบความเร็วต่ำ low range four-wheel drive หรือ 4LOW สำหรับการขับขี่บนพื้นที่ทุรกันดาร อาทิ ทราย โคลน ลุยน้ำปีนขึ้นที่สูงชัน หรือลงในเส้นทางลาดชัน

ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อม ระบบป้องกันการลื่นไถล Brake Limited Slip Differential (B-LSD)โดยระบบจะส่งแรงไปยังล้อที่ลื่นไถลให้การออกตัวที่ลื่น พร้อมกระจายแรงขับขี่ไปที่ล้อแต่ละข้างเมื่อขับขี่ในโหมด 4H ขณะที่ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า Electronic Rear Locking Differential ช่วยเสริมกำลังฉุดเมื่อขับขี่ในสถานการณ์ที่ต้องการแรงบิดสูงในโหมด 4L

โมโนเฟรมแชสซีทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully Boxed Frame) ที่มีชื่อเสียงของนิสสัน มาพร้อมระบบช่วงล่างและระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโครง ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบแหนบซ้อนพร้อมโช๊คอัพ ปรับจูนใหม่

Nissan Navara 2022 มีให้เลือกในตัวถังแบบ King cab 2 ประตู แบบธรรมดา และ ตัวถังยกสูง (Calibre) รวมถึง Double Cab 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด และแบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่มีทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ทั้งยังครบครันสำหรับทุกรูปแบบของการใช้งานในทุกเส้นทาง* มีให้เลือก 4 รุ่นหลัก ได้แก่

PRO-series ซึ่งมี 2 รุ่นย่อย ได้แก่ PRO-4X ดับเบิลแค็บ และ PRO-2X ดับเบิลแค็บ มี 4 สีให้เลือก คือ สีเทา สเตลท์ เกรย์ สีดำ แบล็ค สตาร์ สีแดง เบิร์นนิ่ง เรด และสีขาว ไวท์ เพิร์ล

ราคาจำหน่ายของ Nissan Navara 2022 ปรับจากรุ่นเดิมตั้งแต่ 34,000-45,000 บาท ดังรายละเอียดต่อไปนี้

-PRO-series 1,030,000 บาท
-Double Cab Black Edition 884,000 บาท
-Double Cab Calibre 849,000 บาท
-King Cab Black Edition 799,000 บาท
-King Cab Calibre 765,000 บาท
-King Cab 649,000 บาท
-Single Cab 595,000 บาท