New MG EP รถสเตชั่นแวกอนน้องใหม่ ที่มากับความโดดเด่นด้านพลังขับเคลื่อนที่มาในรูปแบบของรถไฟฟ้า 100% ที่ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 8.8 วินาที และชาร์จไฟเต็มจะสามารถทำระยะทางได้ถึง 380 กม. แต่อรรถประโยชน์อย่างอื่นจะมีอะไรน่าสนใจ รับชมทุกอย่างได้จากรีวิว ยกเว้นเพียงอย่างเดียวนั่นคือราคาจำหน่าย เพราะรถรุ่นนี้จ่อคิดเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ 2020 ที่ใกล้จะมาถึง
เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย เตรียมเปิดตัวรถพลังงานทางเลือกรุ่นที่ 3 ด้วยรูปแบบของรถไฟฟ้า 100% ในรุ่น MG EP ซึ่งถือเป็นรถในคลาสของกลุ่มสเตชั่นแวกอนที่ห่างหายไปจากตลาดเมืองไทยมานาน โดยมีโครงสร้างที่จัดอยู่ในกลุ่มของรถ C Segment กระจังหน้าตกแต่งด้วยเปียโนแบลคและแถบสีโครเมียม บริเวณโลโก้สามารถเปิดออกเพื่อใช้เป็นที่เติมประจุไฟฟ้าซึ่งใช้ช่องเสียบชาร์จมาตรฐานสากลในรูปแบบ Type 2
ไฟหน้าเป็นโคมโปรเจคเตอร์เลนส์พร้อมแอลอีดีและไฟกลางวัน เช่นเดียวกับไฟท้าย
จุดสังเกตที่น่าสนใจนั่นคือรอบคันจะมีเพียงเซนเซอร์ที่กันชนหลัง แต่เรดาร์ต่างๆที่เคยมีมาในรุ่นก่อนถูกถอดออกไปหมด เท่ากับว่า รถรุ่นนี้จะไม่มีตัวช่วยความปลอดภัยอย่างระบบ ADAS แบบในรุ่น ZS และ HS
ค๊อกพิทดีไซน์ให้ใช้งานอุปกรณ์ต่างๆได้ง่าย พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นที่ปรับได้ในส่วนของวิทยุและการใช้งานระบบต่างๆที่จะแสดงบนจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งมีพระเอกเพียงระบบ Tire Pressure แต่ในส่วนของเทคโนโลยี ADAS ที่มีทั้งเบรกอัตโนมัติ ล๊อคความเร็วแบบรักษาระยะห่าง เตือนออกนอกเลน ฯลฯ ที่อยู่ในรุ่นพี่อย่าง HS ถูกถอดออกไปเกลี้ยง
เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบให้เข้ากับสรีระแต่การปรับและพับยังเป็นแบบธรรมดา ไม่มีระบบไฟฟ้ามาช่วยแต่อย่างใด ส่วนเบาะหลังปรับพับได้ 60:40 และพื้นที่สัทภาระด้านท้ายสามารถจัดเก็บได้เกือบ 1500 ลิตร
จอกลางแบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว นอกจากแสดงการทำงานของระบบความบันเทิง ยังแสดงภาพจากกล้องมองหลังพร้อมเซ็นเซอร์เสียงเตือน ทั้งนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ทั้ง Apple Carplay และ Android Auto ส่วนภาคการแสดงของคำสั่งเสียง “Hello MG” และการเชื่อมต่อกับ True Online ที่สามารถค้นหาได้ทั้งเพลงดัง ร้านอาหารเด็ดและฟีเจอร์โดนๆอย่างการออกผลสลากกินแบ่ง ถูกถอดออกไปเช่นกัน
ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ถัดลงมาเป็น Kers Mode ที่ปรับการหน่วงของล้อเพื่อดึงไฟกลับไปยังแบตเตอรี่จากการสร้างแรงเฉื่อยจากล้อ สามารถปรับได้ถึง 3 ระดับ รวมถึงมีโหมดการขับขี่ทั้ง Sport Normal และ Eco บริเวณชุดเกียร์ไฟฟ้าที่เป็นในรูปแบบของ Single Speed นั้นมีเบรกมือไฟฟ้า รวมถึง Auto Hold
NEW MG EP ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% โดยใช้แบตเตอรี่ Lithium-Ion มีความจุรวมถึง 50.3 kWh ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ระยะทางไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐานความประหยัดพลังงาน New European Driving Cycle – NEDC) นอกจากนี้ แบตเตอรี่ของ NEW MG EP ยังได้รับการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น ระดับ IP67 พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System ที่จะช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ภายใต้สภาวะต่างๆ
ในด้านของสมรรถนะ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 8.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ 2 แบบ คือ Quick Charge แบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 โดยชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0 – 80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0 – 100% ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จนั้น จะขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่
NEW MG EP ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ด้วยระบบกันสะเทือนของช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension เสริมด้วยระบบช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลังแบบทอร์ชั่นบีม รวมถึงระบบเบรกเป็นแบบดิสทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบเอบีเอส
สำหรับเทคโนโลยีความปลอดภัยมีครบครันตามมาตรฐาน โดยแต่ละระบบจะมีการทำงานผสานกัน ทำให้เกิดความปลอดภัยและมีความมั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
•ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-Lock Braking System)
•ระบบกระจายแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake Force Distribution)
•ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
•ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
•ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
•ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
•ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
•ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
•ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
•ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
•ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
สเตชั่นแวกอนพลังไฟฟ้ายังมาพร้อมกับการดูแลรักษาที่ง่าย และมีค่าใช้จ่ายต่ำ ทั้งในเรื่องของด้านพลังงานที่ได้จากการชาร์จผ่าน MG Home Charger ง่ายๆที่บ้าน โดยสามารถชาร์จจาก 0%-100% และมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 200 บาท*ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะทางตลอดระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน จะมีค่าใช้จ่ายรวมไม่เกิน 8,000 บาท
อีกทั้งการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ในระยะยาว MG ยังนำเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module มาใช้ ในกรณีหากจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษานั้น สามารถแยกเปลี่ยนเฉพาะ Module นั้นๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุด จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้
NEW MG EP มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีเงิน (Metallic Grey) และสีดำ (Black Knight) โดยจะเปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่งาน Motor Expo 2020 ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นี้ พร้อมเปิดรับจองภายในงาน และโชว์รูมเอ็มจีทุกสาขาทั่วประเทศ