Friday, November 22, 2024
HomeAuto TestTest DriveTESTDRIVE MG GS สัมผัสสมรรถนะพิกัด 218 แรงม้า สะดวกและคุ้มค่ากับฟังค์ชั่น INKANET

TESTDRIVE MG GS สัมผัสสมรรถนะพิกัด 218 แรงม้า สะดวกและคุ้มค่ากับฟังค์ชั่น INKANET

สปอร์ตเอสยูวีรุ่นล่าสุดจากเมืองผู้ดี รูปลักษณ์เฉียบคม ภายในนั่งสบายพร้อมเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อโลกออนไลน์จากระบบ INKANET ขับสนุกด้วยสมรรถนะทรงพลังของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 218 แรงม้า ช่วงล่างเกาะถนนแน่นหนึบสไตล์ BRIT DYNAMIC

ตลาดรถเอนกประสงค์ยังร้อนระอุหลังจากหลายค่ายรถยนต์เริ่มมุ่งประเด็นไปที่โปรดักส์ในกลุ่มรถเอสยูวีซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของผู้บริโภค เช่นเดียวกับค่ายเอมจี ซึ่งหลังจากป้อนผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จาก MG 6 มาสู่ MG 3 ตามด้วย MG 5 และล่าสุดกับ MG GS สปอร์ตเอสยูวีที่ต้องการให้เป็นเรือธงของเซกเมนต์นี้เพื่อสนองความต้องการของตลาดที่กำลังขยายตัวรวดเร็ว โดยตั้งค่าตัวไว้เพื่อท้ารบกับคู่แข่งในราคา 1,210,000 บาท รุ่น 2.0 TD 2WD และ 1,310,000 บาท ในรุ่น 2.0 AWD

สนนราคาเย้ายวนขนาดนี้เริ่มอยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า MG GS จะมีจุดเด่นอะไรน่าสนใจ สมรรถนะเครื่องยนต์รวมถึงฟิลลิ่งการขับขี่จะคุ้มค่า คุ้มราคา มากน้อยขนาดไหน www.autoworldthailand.com ขอคลี่คลายปัญหาที่ทุกท่านกำลังสงสัยครับ

MG GS

ความแตกต่างของรถ 2 รุ่นในรูปแบบขับ 2 และ 4 ล้อ

ก่อนที่จะเข้าสู่การทดสอบ ผมขอแนะนำให้ทุกท่านมาทำความรู้จักกับที่มาของ MG GS ทั้ง 2 รุ่น ในรหัส 2.0 TD 2WD และ 2.0 TX AWD กันก่อน ความแตกต่างนอกจากระบบขับเคลื่อน ยังมีบางส่วนที่ต้องเจาะลึก ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น เชิญรับชมได้จากรายงาน

NEW MG GS ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด บริท ไดนามิค (Brit Dynamic) เช่นเดียวกับรถเอ็มจีทุกรุ่น ถ่ายทอดผ่าน DNA มาจากศูนย์ออกแบบรถยนต์ ยูเค เทคนิคคอล เซนเตอร์ (UK Technical Centre) ณ เมืองเบอร์มิงแฮม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากโคมไฟใน ยูเค พาวิลเลี่ยน เวิลด์ เอ็กซ์โป (UK Pavilion World Expo) ประเทศอังกฤษ ด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวสะท้อนเอกลักษณ์แบบไม่ตามใคร (Follow No Others) ผสมกับคอนเซปต์การออกแบบ Diamond Flow Design เพื่อเน้นความสปอร์ตและปราดเปรียว

MG GS มากับมิติความยาว 4,500 มม. กว้าง 1,855 มม. และสูง 1,699 มม.ในรุ่น 2.0 TX AWD ส่วนรุ่น  2.0 TD 2WD มีมิติกว้าง ยาว เท่ากันแต่จะมีความสูงเพียง 1,675 มม. ส่วนน้ำหนักของรถทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกันถึง 100 กก. รุ่น 2.0 TD 2WD มีน้ำหนัก1,542 กก. ส่วนรุ่น 2.0 TX AWD หนัก 1,642 กก.

รูปลักษณ์เน้นการออกแบบให้กระจังหน้าทรงเรียวเชื่อมต่อกับกรอบไฟ รุ่น2.0 TD 2WD ใช้ไฟหน้าโปรเจคเตอร์เลนส์แบบฮาโลเจน ส่วนรุ่น 2.0 TX AWD จะใช้ HID พ่วงฟังค์ชั่นปัดน้ำฝนอัตโนมัติและหัวฉีดน้ำล้างไฟหน้า รถทั้ง 2 รุ่นติดตั้งไฟส่องสว่างขณะขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Lights) และกระจกมองข้างติดตั้งไฟเลี้ยว รวมถึงมีระบบไฟหน้าเปิด-ปิดและปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ซึ่งมากับไฟตัดหมอกหน้าและหลังบนฝากระโปรงมีเส้นสันคมที่เน้นย้ำโลโก้ MG ให้โดดเด่น กรอบไฟตัดหมอกทรงเหลี่ยมสอดรับกับแผงกันกระแทกรอบคันช่วยเติมความบึกบึน เสริมบุคลิกสปอร์ตด้วยปลายท่อไอเสียทรง 4 เหลี่ยม ไฟท้ายแอลอีดีให้ความสว่างชัดเจนพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว ในรุ่น 2.0 TX AWD  ด้านบนมีรางหลังคาและซันรูฟปรับไฟฟ้า

ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย ออกแบบและตกแต่งภายในดีไซน์สปอร์ต ทันสมัย ใช้วัสดุหนังระดับพรีเมียมสีดำ ทั้งยังเน้นเหลี่ยมคมแบบโมเดิร์นสลับกับเส้นสายโค้งมน ในรุ่น 2.0 TX AWD  เบาะผู้ขับขี่และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า มาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นและระบบความคุมความเร็วอัตโนมัติหรือครูสคอนโทรล รวมถึงติดตั้งระบบแพดเดิลชิฟท์ ส่วนรุ่น 2.0 TD 2WD ปรับไฟฟ้าได้เฉพาะส่วนผู้ขับขี่และไม่มีแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย    เบาะนั่งด้านหลังปรับและพับแยกส่วนได้แบบ 60:40 และปรับเอนได้ถึง 14 องศา สะดวกสบายด้วยกุญแจอัจฉริยะ ปุ่ม Push Start ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และกระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ

อีกหนึ่งความโดดเด่นของ MG GS ทั้ง 2 รุ่นคือเทคโนโลยีการสื่อสารอัจฉริยะ inkaNet (อินคาเน็ต) โดยสามารถโหลดแอพพลิเคชั่นมาไว้ในสมาร์ทโฟนทั้งระบบ ANDROID และ IOS ซึ่งมี 12 ฟังก์ชั่น ประกอบด้วย การโทรออก-รับสาย การรับ-ส่งข้อความ หรือแม้กระทั่งการแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านหน้าจอวิทยุ ตลอดจนระบบการนำทางรถยนต์ ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ การตรวจสอบสถานะของรถยนต์ การแจ้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน พร้อมการวางแผนการเดินทาง การควบคุมการทำงานของรถยนต์ การตรวจวิเคราะห์รถยนต์ การเตือนความผิดปกติของรถยนต์ และระบบเลขาฯส่วนตัว ระบบนำทางเนวิเกชั่นแสดงผลผ่านหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว และระบบเครื่องเสียงตอบสนองความบันเทิงผ่านลำโพง 8 ตัว รองรับมัลติมีเดียและการเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อมยูเอสบี (USB) และเอยูเอ็กซ์ (AUX) นอกจากนี้ยังเติมเต็มความสะดวกด้วยกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์ถอยจอด

ตอบสนองการขับขี่ไปกับขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ไดเรคอินเจคชั่น ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้าที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 2,500 – 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ TST – Twin Clutch Sportronic Transmission แบบ 6 สปีด ซึ่งสามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 ได้ ในรุ่น 2.0 TX AWD ติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ (AWD) ทำอัตราเร่ง 0-100 ในเวลา 8.9 วินาที ส่วนรุ่น 2.0 TD 2WD มากับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ทำอัตราเร่ง 0-100 ในเวลา 8.2 วินาที

ระบบช่วงล่างใช้เป็นแบบเดียวกันทั้ง 2 รุ่น ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง แต่ปรับแต่งในรุ่น 2.0 TX AWD ให้มีความหนืดในส่วนของน้ำมันโช๊คอัพและเพิ่มความแข็งให้กับค่า K ของขดสปริงเพื่อรองรับน้ำหนักตัวรถ รวมถึงมีโครงสร้างตัวถังนิรภัยซึ่งแข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยี FSF – Full Space Frame
มาตรฐานความปลอดภัยในรถคันนี้ไม่เป็นรองใครกับ 13 เทคโนโลยีภายใต้ระบบ SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ที่ทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่การป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS – Anti-lock Braking System) พร้อมระบบช่วยกระจายแรงเบรก (EBD – Electronic Brake Force Distribution) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS – Traction Control System) ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC – Curve Brake Control) ระบบควบคุมการทรงตัว (SCS – Stability Control System) ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง (AVH – Auto Vehicle Hold) ระบบทำความสะอาดจานเบรกอัจฉริยะ (BDC – Intelligent Brake Disc Cleaning) ระบบเพิ่มแรงดันไฮดรอลิคเบรกให้เหมาะสม (OHBV – Optimized Hydraulic Brake Servo) ระบบป้องกันการลื่นไถล เมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน (MSR – Motor Control Slide Retainer) ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBA – Electronic Brake Assist System) ตลอดจนระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS – Hill-Start Assist) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง (TPMS – Tire Pressure Monitor System) และระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB – Electronic Parking Brake)

ถึงเวลาลองของจริง

600 กม. เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ปราณบุรี

การพิสูจน์สมรรถนะของ MG GS ในครั้งนี้ ทางบริษัท เอมจี เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด จัดเส้นทางให้สื่อมวลชนได้ลองสัมผัสกับสปอร์ตเอสยูวี พิกัด 218 แรงม้าไว้บนเส้นทาง กรุงเทพ-ปราณบุรี ระยะทางไปกลับกว่า 600 กม. โดยนักทดสอบรถยนต์ทุกท่านมีโอกาสที่จะได้ทดสอบทั้งในรุ่น 2.0 TD 2WD และ และรุ่น 2.0 TX AWD อย่างเต็มอรรถรส ถึงเวลาควบสปอร์ตเอสยูวีรุ่นแรกจากค่ายรถผู้ดีอังกฤษพร้อมการเจาะลึกสมรรถนะแบบหมดเปลือก

จากความแตกต่างของรูปลักษณ์ภายนอกที่แทบจะไม่รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงดั่งเช่นข้อมูลที่ได้นำเสนอไปในช่วงแรก เพราะฉะนั้นฟังค์ชั่นภายในเป็นอะไรที่น่าสนใจ ห้องโดยสารของ MG GS โปร่ง โล่งสบายและเก็บเสียงได้ดี ระบบที่โดดเด่นอย่าง INKANET ซึ่งรถทั้ง 2 รุ่นนี้ติดตั้งมาจากโรงงานถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ผู้ใช้งานต้องทำความเข้าใจและสร้างความคุ้นชินกับฟังค์ชั่นนี้ก่อน ซึ่งถ้าทำความเข้าใจครบทั้งหมด ความอัจฉริยะอันชาญฉลาดของระบบนี้จะทำให้ผู้ใช้งานสะดวกสบายยิ่งขึ้นทั้งในด้านการใช้งานบนโลกออนไลน์ผ่านหน้าจอขนาด 8 นิ้ว รวมถึงการทำหน้าที่ EQUALIZER ในการปรับแต่งเสียงเพลงผ่านลำโพงทั้ง 8 ตัว นอกจากนี้ยังสามารถตรวจเชคสถานะของรถผ่านแอพพลิเคชั่นทั้งในเรื่องความผิดปกติ รวมถึงระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายของเหลวที่อยู่ภายในเครื่องยนต์ พลาดไม่ได้กับระบบนำทางผ่านดาวเทียมเวอร์ชั่นล่าสุดที่จะไม่ทำให้คุณเสียเวลาจากการหลงทาง อีกหนึ่งจุดเด่นของระบบนี้คือสามารถรับรู้และตรวจสอบว่ารถจอดอยู่บริเวณไหนในกรณีสำหรับการป้องกันการโจรกรรม เบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่ 2 เพิ่มความสบายในการปรับองศาพนักพิงได้อีก 14 องศา ทำให้สามารถเอนนอนและปรับอิริยาบถได้อย่างสะดวก

เมื่อทำหน้าที่เป็นพลขับ มุมมองของกระจกมองหลังเป็นส่วนหนึ่งที่ดูขัดๆ เนื่องจากท้ายรถลาดเท ทำให้พื้นที่กระจกหลังมีมุมที่แคบ แต่ก็ใช่ว่าจะบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ เพียงแค่อาจดูแปลกตาไปสักนิด ส่วนการถอยจอดวิศวกรผู้ออกแบบได้ติดตั้งทั้งเซนเซอร์และกล้องมองหลังไว้เพื่อเป็นตัวช่วย จึงไม่ได้เป็นข้อเสียของการใช้งานในขณะถอยเข้าจอดในที่แคบ

หัวข้อของขุมพลังผ่านฉลุย เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตรติดเทอร์โบในพิกัด 218 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 2,500 – 4,000 รอบต่อนาที ซึ่งถือว่าเป็นแรงบิดที่ดีในช่วงกลางแต่เรียกใช้งานได้ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งอาจเป็นการช่วยเหลือของอัตราทดเกียร์ซึ่งดีไซน์ออกมาได้จัดจ้านและช่วงรอยต่อของเกียร์นุ่มนวล เปลี่ยนตำแหน่งรวดเร็ว ระบบส่งกำลังที่ว่านี้เป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ ในชื่อ TST – Twin Clutch Sportronic Transmission 6 สปีด เลือกขับสนุกได้ใน S MODE โดยสามารถปรับเปลี่ยนแบบรถเกียร์ธรรมดาซึ่งควบคุมได้จากคันเกียร์  ในรุ่น 2.0 TX AWD พิเศษในส่วนของแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย แต่จะทำงานก็ต่อเมื่อเลื่อนตำแหน่งเกียร์มาอยู่ที่ S MODE เท่านั้น

ระบบช่วงล่างเกาะหนึบ เส้นทางที่สะท้อนการทำงานของระบบช่วงล่างอยู่บริเวณช่วงปราณบุรี-สามร้อยยอด ซึ่งเป็นทางคดเคี้ยว หลายโค้งที่เข้าด้วยความเร็วเพื่อให้รับรู้ถึงฟิลลิ่งระบบช่วงล่างของรถคันนี้ ผมออกตัวไว้เลยว่าหายห่วง เพราะการยึดเกาะที่แน่นหนึบและส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหน้าสัมผัสของยางที่กว้างซึ่งมีขนาด 235-50 R18 จะลดทอนความเร็วก็เพียงแต่ลดตำแหน่งเกียร์เพื่อให้สัมพันธ์กับโค้ง วิธีการนี้ไม่แนะนำให้ทำนะครับ เพราะต้องฝึกฝนจนชำนาญ หากลอกเลียนแบบอาจจะลื่นไถลไปนอนแน่นิ่งในคูน้ำข้างทางก็เป็นได้

ฟิลลิ่งระบบช่วงล่างของรถทั้ง 2 รุ่นค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจน จากที่วิศวกรได้ให้ข้อมูลเรื่องการปรับเซทความแข็ง-อ่อน ของโช๊คอัพและสปริงในรถทั้ง 2 รุ่น ซึ่งเป็นจริงดั่งที่ว่า เพราะรุ่น 2.0 TX AWD ให้ความรู้สึกในการควบคุมรถง่ายกว่ารุ่น 2.0 TD 2WD ที่เน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก

อัตราสิ้นเปลืองประมวลผลและวัดเป็นค่าเฉลี่ยบนจอแดชบอร์ดแสดงตัวเลขไว้ที่ ประมาณ 8.0-8.5 ลิตร ต่อ 100 กม. หรือเกือบ 12 กม./ลิตร ในรุ่น  2.0 TX AWD ส่วนในรุ่น 2.0 TD 2WD บริโภคเชื้อเพลิงน้อยกว่าประมาณ 10-15 % ตัวเลขแสดงไว้ที่ประมาณ 7.3-7.8 ลิตร/100 กม. หรือประมาณ 13 กม./ลิตรเลยทีเดียว

สำหรับตลาดในกลุ่มเอสยูวีถือว่ามีคู่แข่งหลากยี่ห้อ จุดเด่นของ MG GS ต้องบอกว่าพอสู้กับคู่แข่งได้สนุกแถมบางประเด็นยังถือว่าได้เปรียบอย่างในเรื่องของเครื่องยนต์และระบบช่วงล่าง นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในด้านความทันสมัยของการให้บริการระบบ INKANET ซึ่งเหมาะกับผู้คนในยุคเจน Y เป็นอย่างยิ่ง การมาในรูปแบบของสปอร์ตเอสยูวีโมเดลแรกของค่ายเอมจี ถือว่าเรียกกระแสตอบรับจากผู้บริโภคได้เกินคาด เพราะตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือนที่เปิดตัวมา MG GS ทำยอดจองท่วมท้นจากงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 37 กว่า 350 คัน และยังคงตามเก็บลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง การเสริมเรื่องหลังการขายเป็นอีกหนึ่งแผนการที่ทีมบริหารของบริษัท เอมจี (ประเทศไทย) จำกัด ได้รุกหนัก ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนขยายตัว จากศูนย์บริการทั่วประเทศทั้ง 40 แห่ง โดยจะเพิ่มขึ้นให้ครบ 80 แห่งภายในปีนี้ ตอกย้ำถึงความสำคัญสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้บริโภค ถึงอย่างไรภายใต้การบริหารในเครือซีพีกรุ๊ป แน่นอนว่าต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณ ว่าจะเปิดโอกาสลองคบกับรถค่ายนี้มากน้อยแค่ไหน

RELATED ARTICLES

Most Popular