Toyota Fortuner Legender รุ่น 2.8 4WD พี่ใหญ่รุ่นท๊อพที่ได้รับการปรับปรุงในรูปแบบไมเนอร์เชนจ์ มาพร้อมออฟชั่นแบบไม่มีกั๊ก และสมรรถนะขับสนุกจากเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรปรับแต่งให้ได้แรงม้าสูงถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร รวมถึงระบบขับเคลื่อนแบบ Sigma 4 System ที่มีตัวช่วยการขับขี่ซ่อนอยู่มากมาย จะช่วยให้การเดินทางลุยเส้นทางออฟโร๊ดที่ค่อนข้างจะสาหัส ไปยังจุดหมายปลายทางบนยอดเขาระเบิด จ.ชลบุรี ได้อย่างไรบ้าง ติดตามได้จากรายงาน
กระแสตอบรับอย่างท่วมท้นหลังจากที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดตัวรถรุ่นนี้ด้วยยอดจองแตะ 7,000 คัน ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน และเกินครึ่งของยอดจองกลับเป็นของรุ่นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร
การปรับปรุงในรูปแบบไมเนอร์เชนจ์สำหรับ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD คันนี้เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงมุมมองทั้งหน้าและหลังใหม่ ชุดๆไฟหน้าและหลังเป็นแบบ Full Led กันชนหน้าและกระจังมาพร้อมการออกแบบที่ให้ความสปอร์ตยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ล้ออัลลอยลายใหม่พร้อมยางขนาด 265/50 R20 เข้ามาประจำการแทนลวดลายเดิม ส่วนกระจกมองข้างและหลังคาเป็นสีแบบทูโทนคล้ายกับรุ่น TRD Sportivo มาพร้อมราวหลังคา และบันไดข้าง ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ฝาท้ายมีการติดตั้งระบบเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมเซ็นเซอร์เปิดฝาท้ายแบบ Kick Activated บริเวณกรอบป้ายทะเบียนมีการติดตั้งกล้องมองภาพ และที่กันชนฝังเซนเซอร์เพื่อเป็นการประมวลผลสำหรับกล้องมองภาพรอบคันพร้อมมุมมองแบบ 3 มิติ
ห้องโดยสารเพิ่มเติมความหรูหรา เบาะหนังแท้แต่งด้วยหนังสังเคราะห์ สำหรับคู่หน้าปรับได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนของแถว 2 ปรับและพับได้แบบ One Touch ส่วนแถว 3 ยังคงสไตล์พับและแขวนไว้ด้านข้างเช่นเดิม
ชุดพวงมาลัยและคอนโซลกลางมีความใกล้เคียงรุ่นเดิม แต่เติมเต็มฟีเจอร์ต่างๆไว้เพียบ พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังค์ชั่นที่มีสวิทช์ควบคุมและสั่งการระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ รวมถึงระบบเตือนเมื่ออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน และระบบแสดงสถานการณ์เลี้ยวของล้อ ซึ่งแสดงการทำงานผ่านจอ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว แบบเดียวกับ Toyota Hilux Revo
คอนโซนกลางติดตั้งจอทัชสกรีนขนาด 9 นิ้ว นอกจากแสดงการทำงานของกล้องมองภาพรอบคัน ในขณะที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้งระบบ IOS และ Android จะสามารถแสดงการทำงานของแอพลิเคชั่นต่างๆ รวมถึงแผนที่นำทางอย่าง Google Map อัพเกรดคุณภาพเสียงในการดูหนังฟังเพลงผ่านลำโพง JBL ทั้ง 11 ตัว ซึ่งถูกติดตั้งรอบห้องโดยสารถึง 9 จุด และยังมีระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลพร้อมช่องระบายความเย็นสำหรับผู้โดยสารทั้ง 3 แถว
ถัดมาเป็นสวิทช์ควบคุมระบบควบคุมความเร็วลงทางลาดชันและสวิตช์ควบคุมแบบมือหมุนของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Sigma 4 System
ช่องเก็บของด้านล่างจะมีการเพิ่มเติมในส่วนของ Wireless Charging รองรับการชาร์จไฟเข้าสมาร์ทแบบไร้สาย
ส่วนชุดคอนโซลเกียร์แต่งขอบสีเงิน มากับสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ทั้ง ECO Normal และ Power
ระบบ T-Connect เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมเด่นของโตโยต้า แน่นอนว่ามีมาให้เหมือนกัน และเก็บกล่องดำที่ทำหน้าที่เสมือน GPS ติดตามรถ และบันทึกประวัติต่างๆของรถ ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด
ขุมพลังดีเซลปรับใหม่ในรหัส 1 GD-FTV (High) แบบ 4 สูบแถวเรียง VN Turbo และ Intercooler ขนาด 2.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบ
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะที่มาพร้อมบวก/ลบ ที่ตำแหน่งคันเกียร์และแพดเดิลชิฟท์ ที่พวงมาลัย
ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงเช่นกัน แต่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อช่วยซับแรงสั่นสะเทือน เพิ่มความนุ่มนวลและให้การควบคุมที่ดียิ่งขึ้น
ด้านความปลอดภัยมีมาให้ครบครันตั้งแต่โครงสร้างนิรภัย GOA พร้อมคานเหล็กนิรภัยด้านข้าง ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ระบบเบรกเอบีเอสที่มากับดิสเบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบกระจายและเสริมแรงเบรก นอกจากนี้ตัวช่วยการขับขี่ที่ให้ความปลอดภัยยังให้มาแบบไม่มีกั๊ก อาทิ
-ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
-ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี A-TRC
-ระบบควบคุมการส่ายของพวงมาลัย TSC
-ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน HAC
-ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน DAC
-ระบบควบคุมเฟืองท้าย Auto limited Slip Differrential
สำหรับการทดลองขับช่วงแรกเป็นการใช้งานบนถนนหลวงระยะทางกว่า 100 กม. เพื่อไปยังไฮไลท์ของการทดสอบครั้งนี้นั่นคือที่เขาระเบิด จ.ชลบุรี
การขับขี่บนถนนหลวงในโหมดขับเคลื่อนปกติ (Normal) สัมผัสได้ถึงความแรงที่เปลี่ยนไปเพราะทั้งแรงม้าและแรงบิดได้ถูกการพัฒนาเพื่อให้การตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน ในโหมด Eco กล่องอีซียูจะสั่งการให้คันเร่งและหัวฉีด ลดการตอบสนองต่อการ ใช้งาน เพื่อคงไว้ซึ่งความประหยัด แต่ถ้าอยากแรง โหมด Power จะทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น การตอบสนองในการใช้คันเร่งจะรวดเร็วขึ้น
ระบบช่วงล่างปรับเซ็ทมาให้นุ่มและหนึบกว่าเดิม ค่าKของสปริงพร้อมโช๊คอัพที่พัฒนามาใหม่ พวงมาลัยก็เป็นอีกหนึ่งการพัฒนาให้ได้มาซึ่งนน.เบา ในความเร็วต่ำ คุณผู้หญิงใช้งานสบายๆ ส่วนความเร็วสูงจะปรับให้หนักขึ้น ทั้งหมดทำให้รถคันนี้มีบังคับควบคุมที่แม่นยำและมั่นใจได้ในทุกย่านความเร็ว
ขั้นตอนการผลิตที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด กระจกหน้าเป็นแบบ Acoustic glass ทั้งยังมีการติดตั้งวัสดุซับเสียง ส่งผลให้ภายในห้องโดยสารค่อนข้างเงียบ ในขณะที่ความเร็วคงที่ 100 กม./ชม. ระดับเสียงแค่เพียง 70 เดซิเบล
ตัวช่วยความปลอดภัยอย่างระบบเตือนออกนอกเลนพร้อมระบบช่วยดึงกลับ LDW อาจจะทำให้วุ่นวายต่อการขับขี่ไปสักนิด ถ้าไม่ชอบก็เลือกเปิด/ปิด เหมือนตัวเตือนการชนและ Radar Adaptive Cruise Control
มาถึงบทบาทในทางลุยซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริพเลยก็ว่าได้ “เขาระเบิด” เป็นจุดหมายที่ใช้พิสูจน์สมรรถนะของ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD และบริจาคถังน้ำอเนกประสงค์เพื่อให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งผู้จัดงานไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสภาพเส้นทางจะสาหัสเพียงไหน แต่ในวงการออฟโร๊ดจะรู้กันดีว่าความโหดของที่นี่คือเส้นทางที่เป็นดินหนังหมูและต้องขึ้นเนินชัน
คืนก่อนที่คณะของเราจะเดินทางไปถึงฝนพึ่งจะกระหน่ำลงมาหมาดๆ และในวันที่เดินทาง ฟ้าก็ปิดจนมองไม่เห็นแสงแดด ดูเหมือนธรรมชาติจะเป็นใจและช่วยให้การพิสูจน์สมรรถนะในครั้งนี้ได้รู้ถึงขีดสุด
Sigma 4 Syetem ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่พัฒนามาจากรุ่นที่แล้ว ในทางลุยแบบนี้ ต้องยกให้เป็นพระเอก ว่ากันด้วยเรื่องรอบเดินเบา หากใช้งานระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ จากเดิมอยู่ที่ 860 รอบต่อนาที ให้เหลือเพียง 650 รอบ เพื่อการก้าวข้ามอุปสรรคบนเส้นทางทุรกันดารทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งตัวช่วยอย่างกล้องมองภาพรอบคันที่แสดงภาพในรูปแบบ 3 มิติ ทำให้การมองเห็นความกว้างของเส้นทางได้สะดวก ผู้ขับขี่ก็สามารถปกป้องสีรถไม่ให้ครูดกับต้นไม้ข้างทางได้อย่างสบาย
ฟีเจอร์เด่นสำหรับสภาพเส้นทางแบบนี้คือ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน DAC ซึ่งต้องเปิดสวิตช์บริเวณคอนโซลกลางและจะทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น 4H หรือ 4L โดยจะทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 7 กม./ชม.โดยการนำกำลังของเครื่องยนต์และเบรก มาช่วยสร้างแรงเฉื่อยขณะที่ลงทางชัน และ ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน HAC จะทำหน้าที่หยุดรถค้างอีก 3 วินาทีเพื่อไม่ให้รถไหลลงจากเนินเมื่อตอนย้ายเท้าจากเบรคมาที่คันเร่ง
สภาพเส้นทางเกินความคาดหมายไปเยอะ และยิ่งถ้าเป็นคนรักรถคงถอดใจตั้งแต่บริเวณปากทางเข้าพื้นที่ลุย เริ่มจากการไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆด้วยเกียร์ 4H แต่ถ้าดันทุรังต่อโดยใช้ระบบขับเคลื่อนสองล้อก็น่าจะไม่ใช่ปัญหา เนื่องจาก Auto Limited Slip Defferential คอยทำหน้าที่แบ่งกำลังจากเครื่องยนต์ที่มายังล้อหลัง
ไต่ระดับความสูงขึ้นมาสักพักก็มาถึงจุดไฮไลท์ ชาวบ้านแถวนี้ตั้งชื่อให้ว่า “จุดคัดกรอง” ลักษณะเป็นทางลงเขาต่อด้วยขึ้นเนินชันซึ่งถ้าตอนหน้าแล้ง เส้นทางบริเวณนี้จะไม่น่ากลัวเท่าวันนี้
21.00 น.ก่อนวันเดินทาง เป็นช่วงเวลาที่ฝนกระหน่ำบริเวณโดยรอบพื้นที่ของเขาระเบิด เดิมทีในช่วงหน้าฝน จุดคัดกรองแห่งนี้มีสภาพเป็นดินหนังหมู เอาง่ายๆแค่เดินก็ล้ม ต่อให้ยางมัทเทอเรนที่เป็นบั้งลึก ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ผ่านไปง่ายๆ ยาง Hiterrain จากดันลอฟ ขนาด 265/50 R20 ที่ติดมากับรถแค่เดินทางมาถึงบริเวณนี้ก็เกือบจะกลายเป็นโดนัท เพราะดินเหนียวที่เข้ามาอุดร่องดอกยาง
เสียงจากวิทยุสื่อสารดังขึ้นว่า “ให้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4H ใช้คันเร่งให้หนักขึ้นและต้องไม่ถอน” ตรงนี้ผมเห็นต่าง เพราะประสบการณ์การเดินทางบนเส้นทางลักษณะใกล้เคียงกัน ที่ผ่านมาผมใช้แต่ 4L ซึ่งใช้รอบเครื่องยนต์ไม่สูงมาก นอกจากรถไม่ช้ำ โอกาสที่จะหลุดออกนอกไลน์และสไลด์ตกเขา มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่า
พอเข้าโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4L น้ำหนักพวงมาลัยยิ่งเบา ซึ่งเป็นการพัฒนาโปรแกรมใหม่ เนื่องจากหากเกิดกรณีติดหล่ม หรือเส้นทางที่เป็นโคลน และดินหนังหมูแบบนี้ การที่ทำให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นผิวให้ได้มากที่สุด จะทำให้ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นได้ง่าย ซึ่งการโยกพวงมาลัยไปทางซ้าย และ ขวาอยู่ตลอดเวลา ทำให้หน้ายางสัมผัสพื้นผิวได้มากขึ้นนั่นเอง
รอบเครื่องที่ใช้ไม่เกิน 2,500 รอบก็สามารถผ่านไปได้แบบทุลักทุเล ทั้งนี้ตัวช่วยอย่างระบบป้องกันล้อหมุนฟรี จะถูกเรียกใช้งานตามการประมวลผลของสมองกล และอีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดอย่างระบบแสดงสถานะการเลี้ยวของล้อ Tire Tunning Angle ซึ่งแสดงผลผ่านจอ TFT ขนาด 4.2 ที่บริเวณแดชบอร์ด ช่วยให้พวงมาลัยไม่หลงทิศ บังคับไปตามไลน์
จุดไฮไลท์ของเขาระเบิดถือว่าค่อนข้างเอาเรื่อง แต่ทั้งขบวนก็สามารถผ่านพ้นอุปสรรคกับจุดคัดกรองไปได้ เส้นทางเริ่มไต่ระดับความสูงอีกครั้ง แต่ก็ไม่สาหัสสักเท่าไหร่
ไม่นานนักก็มาถึงจุดชมวิวที่มีชื่อเรียกว่าสถานีร่มบิน ลานกว้างๆพร้อมบรรยากาศสวยๆไร้วิวทะเล ก็ถือว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่และน้อยคนที่จะเคยเห็น และภารกิจสุดท้ายคือการบริจาคถังน้ำอุปโภคบริโภคไว้ให้คนพื้นที่และผู้มาเยือนได้ใช้ประโยชน์ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
บทสรุปการพิสูจน์สมรรถนะของ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD ต้องยอมรับว่าผู้จัดนั้นใจถึงและไม่กลัวที่รถจะบอบช้ำจากการใช้งาน ค่าตัวในราคา 1,839,000 บาท นอกจากรูปลักษณ์ที่ปรับแต่งให้ดูสปอร์ตและดุดันยิ่งขึ้น สมรรถนะเครื่องยนต์ขับสนุก ช่วงล่างปรับเซทมาได้อย่างลงตัว ออฟชั่นที่ให้มาก็ครบแบบไม่มีกั๊กและใช้งานง่าย สิ่งที่ควรปรับปรุงมีเพียงเรื่องเดียวนั่นคือระบบเซ็นเซอร์เปิดฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Kick Activate ที่ค่อนข้างใช้งานยาก เนื่องจากต้องเปิดระบบก่อนการใช้งาน ขณะที่ฟีเจอร์นี้ในคู่แข่งแบรนด์อื่น เพียงแค่มีกุญแจอยู่ที่ตัวก็สามารถทำงานได้โดยที่ไม่ต้องเปิดระบบ