Haval H6 Hybrid SUV รถยนต์รุ่นแรกที่ GWM หรือ Great Wall Motor เตรียมส่งลุยตลาดเมืองไทย หลังจากโชว์ตัวในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ผ่านมา ต่อด้วยการพาสื่อเข้าชมพร้อมอัพเดทข้อมูลในรูปแบบ Sneak Preview แต่ครั้งนี้เป็นการทดลองขับบนเส้นทาง กรุงเทพ-ชลบุรี ก่อนที่จะขายจริงในวันที่ 28 มิถุนายน ที่จะมาถึง สมรรถนะ รวมถึงฟีเจอร์ทันสมัยที่จัดเต็มมาอย่างล้นคันของเอสยูวีไฮบริดน้องใหม่คันนี้จะมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด แถมให้อีกนิดกับรายการส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าลอตแรก ของแถมเพียบมาพร้อมแคมเปญผ่อนฟรีดอกเบี้ย และประกันภัย เรื่องราวทั้งหมด…ติดตามได้จากรายงาน
Haval H6 Hybrid SUV ที่กำลังจะจำหน่ายในไทยแบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ Pro กับ Ultra ซึ่งแตกต่างกันในเรื่องการตกแต่งเพียงบางส่วน แต่มิติตัวรถจะถูกส่งเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับ MG HS,MAZDA CX-5,Honda CRV และ Subaru Forester แต่ค่อนข้างได้เปรียบด้วยขนาดความยาว 4,653 มม. กว้าง 1,886 มม. สูง 1,730 มม. ในขณะที่ฐานล้อกว้าง 1,738 มม.
ซึ่งถ้าเอามิติมาเทียบกับคู่แข่งที่มาจากชาติเดียวกัน ถือว่าเป็นต่อในทุกมิติ ยาวกว่า 79 มม. กว้างกว่า 10 มม. และสูงกว่า 60 มม. รวมถึงฐานล้อกว้างกว่า 60 มม.โครงสร้างตัวถังเป็นแบบอัจฉริยะโมดูลาร์ และวัสดุที่ใช้ในการผลิตยังเป็นแบบเดียวกับเรือดำน้ำ ที่มีคุณสมบัติด้านความเบา แต่แกร่ง และทนทาน
รูปลักษณ์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ กระจังหน้าสีดำในรุ่น Pro และโครเมียมในรุ่น Ultra ออกแบบเรียบหรูในรูปแบบลวดลายตาข่าย บริเวณโลโก้จะมีกล้องเพื่อใช้ประมวลผลการทำงานของอีกหลายฟีเจอร์
ไฟหน้าเป็นแบบ LED Headlamp ที่รวมทุกอย่างไว้ในโคมเดียวกัน มีระบบเปิด-ปิด, ปรับสูง-ต่ำ รวมถึงไฟนำทาง แต่แยกไฟตัดหมอกมาไว้ที่มุมกันชนทั้ง 2 ฝั่ง ยกเว้นในรุ่น Pro และที่กันชนทั้งหน้าและหลังมีการฝังเซนเซอร์ไว้รอบคัน
เส้นสายรอบตัวรถออกแบบให้มีสไตล์ ล้อเป็นทูโทนลาย 5 ก้านคู่หุ้มยาง Goodyear ขนาด 235/50R19 บนหลังคามากับพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่ ในรุ่น Ultra ส่วนในรุ่น Pro ล้อจะเป็นขอบ 18 นิ้ว และหลังคาไม่มีซันรูฟ
ท้ายรถออกแบบให้มีกลิ่นอายของรถยุโรป ชุดไฟหรี่ใช่หลอดแอลอีดีทอดยาวจากฝั่งซ้ายไปถึงฝั่งขวา มีโลโก้ Haval สีโครเมียม มากับสปอยเลอร์ที่ฝังไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมกล้องมองภาพติดตั้งบริเวณฝากระโปรง
ห้องโดยสารกว้างขวาง ออกแบบห้องโดยสารให้มีมุมมอง 360 องศา คอนโซลและแผงข้างมีการตกแต่งด้วยสีดำ เบส และ ทอง ก้าวแรกที่เข้าไปด้านในแอบนึกถึง IRON MAN เพราะไฟห้องโดยสารจากระบบ Ambient Light ที่ให้มาเป็นสีแดง
เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์แต่งแบบทูโทนเช่นกัน คู่หน้าปรับเซ็ทเป็นด้วยไฟฟ้า เก๋ไก๋ด้วยเบาะผู้โดยสารที่มีปุ่มปรับเบาะ 2 ตำแหน่ง แต่ไม่มีหน่วยความจำ เบาะหลังสามารถพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระ
พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นหุ้มขอบด้วยหนังแท้ หน้าจอมาในสไตล์ Full Digital มีด้วยกันถึง 3 ชุด ทั้งที่จอแสดงข้อมูล Multi Information Display ขนาด 10 นิ้ว จอ Intelligent Multimedia Touchscreen รองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay และ Android Auto ขนาด 10 นิ้ว ในรุ่น Pro และ 12 นิ้ว ในรุ่น Ultra รวมถึง Head Up Display ที่แสดงการทำงานได้หลากหลาย
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแบบ Dual Zone พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ในรุ่น Ultra มาพร้อมตัวกรอง N95 และมี Wiress Charger ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ถัดมาเป็นเกียร์แบบหมุน มีเบรกมือไฟฟ้าและ Brake Hold ติดตั้งมาให้ใกล้ๆกัน
ขุมพลังที่ใช้เป็นการทำงานแบบลูกผสมระหว่าง เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร กับ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร พิเศษตรงที่ชุดส่งกำลัง มีทั้งของเครื่องยนต์เป็นแบบ Dual Clutch และอีกหนึ่งชุดเป็นระบบส่งกำลังที่ใช้กับมอเตอร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะหากใช้งานในเมืองความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. จะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า อัตราสิ้นเปลืองตามอีโค่สติกเกอร์ 19.2 กม./ลิตร และพิเศษด้วยเพลาขับอัจฉริยะแบบ Multi Mode มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 แบบ ได้แก่ โหมดมาตรฐาน/ โหมดสปอร์ต/ โหมดประหยัด/ โหมดสภาพถนนลื่น .
ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท หลังแบบมัลติลิงค์ ซึ่งมาพร้อมดิสเบรคทั้ง 4 ล้อ
ในด้านของฟังก์ชั่นอัจฉริยะ (Intelligent Functions) ซึ่งมีการอัพเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) มากับความสามารถในการอัพเกรดเฟิร์มแวร์สำหรับการควบคุมระบบขับเคลื่อน ระบบส่งกำลัง ระบบการขับขี่อัจฉริยะต่างๆ รวมถึงระบบ Infotainment และระบบควบคุมอื่นๆ ภายในรถยนต์ได้อย่างง่ายดายฃ)
อีกหนึ่งเทคโนโลยีได้แก่การตอบโต้ด้วยเสียงอัจฉริยะผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) มีความสามารถในการจดจำเสียงได้เป็นอย่างดี ช่วยลดการใช้งานจากการกดปุ่ม เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยผู้ขับขี่สามารถสั่งการและโต้ตอบด้วยเสียงเพื่อใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ รวมไปถึงการเข้าถึงระบบเอ็นเตอร์เทนเม้นท์
และความทันสมัยในรูปแบบของการตรวจสอบสถานะต่างๆของรถผ่านแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เป็นระบบช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานบางฟังก์ชั่นของรถยนต์ได้ แม้ผู้ขับขี่จะอยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การล็อคและปลดล็อคประตู การค้นหารถยนต์ การปิดหน้าต่าง และการควบคุมระบบการระบายความร้อนของเบาะ การแสดงตำแหน่งรถยนต์ การกำหนดรัศมีการใช้งานรถ และการแสดงผลการตั้งค่าต่างๆ ของรถ
ไฮไลท์เด็ดที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นั่นคือระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัย (Driver Assistance and Safety Systems) สำหรับการขับขี่แบบอัตโนมัติในระดับ 2+ ประกอบไปด้วย
ระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety)
-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) มาพร้อมกล้องติดรถยนต์ ADAS ที่ประสานกับชิปควบคุมการขับเคลื่อนอัตโนมัติ EYEQ4 ของโมบายอาย ช่วยควบคุมในช่วงความเร็วเต็มพิกัดที่กำหนดไว้ รวมถึงการหยุดและรีสตาร์ทกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้า
-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA) ทำงานตามความเร็วที่ผู้ขับขี่ตั้งเอาไว้ แต่จะตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย
-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) เป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วต่ำ
-ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) ถือเป็นหนึ่งในระบบที่ดีทีสุดในระดับ 2+ (L2+) ที่มาพร้อมระบบการตรวจจับคนเดินถนน และทางแยก โดยสามารถคำนวณระยะทางระหว่างรถและคนเดินถนนได้แบบเรียลไทม์ มีสัญญาณเตือนด้วยเสียงและการเบรกอัตโนมัติช่วยหลีกเลี่ยงการชนหรือลดแรงกระแทก และยังมีการเตือนการชนด้านหน้าและด้านหลัง โดยใช้เรดาร์ด้านหน้าและหลัง เพื่อพิจารณาระยะทาง ทิศทาง และความเร็วสัมพัทธ์ของรถคันอื่น
-ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ช่วยควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน
-ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) แจ้งเตือนเมื่อรถกำลังออกนอกเลน
-ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) ช่วยควบคุมรถให้อยู่กึ่งกลางเลน
-ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) โดยหากมีการตรวจสอบพบรถอีกคันกำลังแล่นมา หรือมีรถแซงขึ้นมาจากอีกเลนหนึ่ง ระบบจะทำการแทรกแซงการทำงานมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการชน
-ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD) โดยการใช้ใช้เรดาร์ตรวจสอบรถในเลนที่ติดกันโดยหากมีหากอยู่ใกล้มากจนเสี่ยงที่จะเกิดการชนเนื่องจากจุดอับสายตาตามธรรมชาติ ระบบจะมีไฟเตือนเพื่อแสดงที่กระจกด้านนอกในด้านที่เหมาะสม
-ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) โดยระบบจะตรวจสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่หรือรถที่มีขนาดยาว โดยในระหว่างการแซง ระบบจะรักษาช่องว่างระหว่างรถตามระยะที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และจะหมุนรถให้กลับสู่เลนเดิมอัตโนมัติ
-การเข้าโค้งอัจฉริยะ เมื่อระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ทำงาน กล้องจะทำการตรวจสอบความโค้งของถนน และความเร็วจะถูกปรับอัตโนมัติหากจำเป็นต้องลดความเร็วในขณะเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย และเมื่อผ่านโค้งไปแล้ว รถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้
-ระบบตรวจจับและตีความหมายป้ายจราจร(TSR) กล้องจะทำงานร่วมกับชิปประมวลผลภาพโดยสามารถวิเคราะห์ป้ายจราจรเช่น ป้ายจำกัดความเร็ว และจะมีสัญญาณเตือนด้วยเสียงและภาพแสดงบนหน้าจอเพื่อเตือนผู้ขับขี่หากขับเกินความเร็วที่กำหนด
-ระบบควบคุุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (VSC) ช่วยตรวจสอบการหมุนของพวงมาลัยที่อาจจะมากหรือน้อยเกินไปในทางโค้ง เพื่อช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนโดยการลดคันเร่งและเบรกในแต่ละล้อ
-ระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC) ใช้เบรกเพื่อช่วยควบคุมความเร็วของรถขณะขับบนทางลาดชันเพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการบังคับพวงมาลัย
-ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA) โดยเมื่อออกจากจุดที่หยุดนิ่งบนเนินสูงชัน เบรกจะยังคงค้างอยู่ราว 2 วินาที จนกระทั่งคันเร่งทำงานเพื่อป้องกันการถอยหลัง
-ระบบป้องกันการไหลของรถโดยการเบรกอัตโนมัติ (AVH) เมื่อหยุดรถบนทางลาดลง เบรกจะทำงานอัตโนมัติจนกว่าจะมีการเหยียบคันเร่ง
-ระบบช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก (HBA) ช่วยลดระยะเบรกในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยรถจะเพิ่มระบบช่วยเบรกเพื่อลดระยะการหยุดให้สั้นลง
-ระบบลดความเสี่ยงที่จะพลิกคว่ำ (ARS) ช่วยชะลอและทรงตัวรถ หากตรวจสอบพบว่ารถมีการหมุนตัวมากเกินไป จะใช้ระบบเบรกและการควบคุมคันเร่งในการชะลอรถและทรงตัว
-ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS) โดยรถจะทำการวัดแรงดันลมยางอย่างต่อเนื่องและเตือนผู้ขับขี่หากมีแรงดันลมยางล้อใดลดลง
-กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ประกอบไปด้วยกล้องที่มองได้รอบ 4 ตัว มีความละเอียดคมชัด 4 Megapixel โดยระบบจะรวมเอามุมมองภาพทั้ง 4 กล้องมาสร้างภาพที่มีมุมมอง 360 องศา และเปิดการทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่โหมดการถอยหลัง โดยสามารถดูได้เมื่อขับรถที่ความเร็ว 15 หรือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและตอนสตาร์ทรถ
-ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IAP) ใช้เซนเซอร์และกล้องในการตรวจสอบเพื่อตรวจจับวัตถุและเครื่องหมายบริเวณช่องจอดหรือจุดจอดรถและช่วยทำงานเต็มรูปแบบเพื่อเข้าจอด ทั้งแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวเฉียง โดยเมื่อระบุช่องว่างที่จะนำรถเข้าจอดแล้ว รถจะทำการจอดด้วยตัวเองด้วยการควบคุมพวงมาลัย เบรก และคันเร่ง
-ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอัยสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) เซนเซอร์ช่วยตรวจสอบจุดอับสายตาด้านหลังของตัวรถทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของช่องทางเดินรถในขณะถอยหลัง เมื่อกำลังถอยหลังออกจากช่องจอดเข้าสู่ช่องจราจร เซนเซอร์หลังของรถจะทำการเช็คด้านซ้ายและขวาของช่องจราจรและ ส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและภาพ หากผู้ขับขี่ยังเพิกเฉย ไม่หยุดรถ ระบบเบรกอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินจะเริ่มทำงานด้วยการลดความเร็วและหยุดรถเพื่อหลีกเลี่ยงการชน
-ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในขณะที่ขับรถต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะบันทึกเส้นทางและสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ และหากเลือกเกียร์ถอย รถจะสามารถถอยหลังกลับได้เองโดยใช้ข้อมูลสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้
-ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) ระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว หากพบการเปิดประตูรถ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เมื่อรถจอดเรียบร้อยแล้ว หากมีการตรวจจับวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวได้ เช่น มีรถหรือนักปั่น จะมีไฟเตือนการเปิดประตูจะแสดงขึ้นบนหน้าจอ และเมื่อประตูถูกเปิดออกในขณะที่วัตถุถูกตรวจจับได้ ไฟเตือนจะกระพริบและจะมีเสียงเตือน
-ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM) ช่วยประเมินและวิเคราะห์ลักษณะในการขับขี่ เช่นมุมบังคับเลี้ยว การเบรก การควบคุมไฟส่องสว่าง และใบบัดน้ำฝน ระยะเวลาในการขับ หากพบว่ามีลักษณะการขับขี่ที่เหนื่อยล้า หรือหลังจากขับรถด้วยความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขับรถมากว่า 4 ชั่วโมง ระบบจะเตือนด้วยภาพและเสียงนาน 20 วินาที ทุกๆ 10 นาที โดยสามารถทำการตั้งค่าใหม่ได้ก็ต่อเมื่อทำการหยุดรถเท่านั้นรถจะทำการแจ้งเตือนและแนะนำให้หยุดพัก
เริ่มเรื่องราวของการทดลองขับกันบ้าง เริ่มการเดินทางจากกรุงเทพ-ชลบุรี ระยะทางราว 200 กม. สิ่งที่ต้องชื่นชมนั่นคือเรื่องของการประกอบที่ทำมาได้ดี เสียงที่เร็ดรอดเข้ามาในห้องโดยสารนั้นน้อยมาก ช่วงการใช้งานในเมืองที่มีการจราจรพลุกพล่าน ได้มีการสัมผัสกับระบบต่างๆทั้ง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วต่ำ (TJA) ที่ทำงานตามความเร็วที่ผู้ขับขี่ตั้งเอาไว้ และจะตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย พร้อมระบบช่วยหยุดรถยนต์และออกตัว (stop-and-go) รวมถึงระบบการช่วยเหลือการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
ระบบต่างๆที่ได้ทำการทดสอบถือว่าเป็นระบบเพื่อความปลอดภัย ที่ถือว่าเป็นการพํฒนาที่ทันสมัย เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นการขับขี่ในรูปแบบอัตโนมัติก็ว่าได้ แต่ทั้งนี้ การปรับค่าใช้งานระบบต่างๆนั้นทำได้ยาก และต้องทำความคุ้นเคยกับระบบพอสมควร เพราะไม่สามารถสั่งการได้จากพวงมาลัย จะสั่งการได้เพียงที่จอกลางแบบทัชกรีนเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากต้องปรับในขณะขับขี่ ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมุมมองที่มีแสงตกกระทบจากกระจกหน้านั้นค่อนข้างจะมองยาก และอีกอย่างคือ เสียงเตือนของระบบต่างๆไม่สามารถปิดเสียงได้ ทำให้รบกวนสมาธิในการขับขี่ในระดับหนึ่ง
ในด้านสมรรถนะความเร็วนั้นหายห่วง ขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร กับ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร พิเศษตรงที่ชุดส่งกำลังมีทั้งของเครื่องยนต์เป็นแบบ Dual Clutch และอีกหนึ่งชุดเป็นระบบส่งกำลังที่ใช้กับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังหายห่วงตามแบบฉบับของรถไฮบริด น่าเสียดายที่ไม่มีการทำงานของระบบแสดงที่หน้าจอ และโหมด EV ที่ใช้ล๊อคการทำงานของระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว
หากใช้งานในเมืองที่ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. จะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าความเร็วเกินกว่านั้น ก็จะไปช่วยเสริมพลังจากเครื่องยนต์ ส่วนอัตราสิ้นเปลืองตามอีโค่สติกเกอร์อยู่ที่ 19.2 กม./ลิตร แต่หากใช้งานโหมดสปอร์ต และเหยียบคันเร่งเต็มแรง อาการเสียวท้องก็จะมีมาให้สัมผัสได้ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.อยู่ที่ 8 วินาที และความเร็วสูงสุดล๊อคไว้ที่ไม่เกิน 182 กม./ชม.
จุดหมายปลายทางของทริพนี้อยู่ที่สนามบินเล็กหนองค้อ จ.ชลบุรี เพื่อทำการ TEST DRIVE TRACK ทั้ง 5 สถานี ได้แก่
สถานีทดสอบอัตราการเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และการเข้าโค้งอัจฉริยะ (Torque (0-100 km/hr) and Intelligent Cornering)
พิสูจน์สมรรถนะและความแรงของรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 530 นิวตัน-เมตร และทดสอบการเข้าโค้งของรถเมื่อขับผ่านทางโค้ง โดยกล้องจะทำการตรวจสอบโค้งถนน เพื่อให้ความเร็วถูกปรับอัตโนมัติให้เหมาะสมสำหรับการเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย เมื่อผ่านโค้งไปแล้ว รถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้
สถานีทดสอบระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA : Auto Reversing Assistance)
ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการทดสอบเทคโนโลยีอันทันสมัย โดยรถยนต์จะสามารถจดจำเส้นทางที่ขับผ่านด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้สูงสุด 50 เมตร และสามารถถอยหลังกลับอัตโนมัติตามเส้นทางได้อย่างราบรื่น
สถานีทดสอบระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IAP Integration Auto Parking)
ด้วยกล้อง 360 องศา และเซนเซอร์อัลตร้าโซนิค ช่วยให้ All New HAVAL H6 Hybrid SUV สามารถค้นหาที่จอดรถ คำนวณพื้นที่สำหรับจอดรถได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถช่วยจอดได้ทั้งในรูปแบบการถอยเข้าช่องจอด การจอดขนานเส้นทางเดินรถ และการจอดตามแนวเฉียง
สถานีทดสอบระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
(RCTA+RCTB Rear Cross Traffic Alert and Rear Cross Traffic Breaking)
ระบบจะช่วยทำการแจ้งเตือนในขณะที่ถอยรถ โดยจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับรถยนต์ที่เข้าใกล้บริเวณด้านหลังรถ และด้านซ้าย-ขวา และเมื่อตรวจพบความผิดปรกติระบบจะทำการส่งสัญญาณเตือนและเบรคให้อัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชน
สถานีทดสอบระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC : Adaptive Cruise Control)
ทดสอบการใช้งานกล้องติดรถยนต์ ADAS ที่ประสานกับชิปควบคุมการขับเคลื่อนอัตโนมัติ Q4 ของโมบายอาย (EYEQ4) ช่วยควบคุมในช่วงความเร็วเต็มพิกัดตามที่กำหนดไว้ รวมถึงการหยุดและรีสตาร์ทกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้า
ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวของเอสยูวีน้องใหม่ขุมพลังไฮบริดกับ Haval H6 Hybrid SUV ถ้าให้สรุปโดยรวมถือว่าเป็นรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ๋ที่มากับสมรรถนะที่ไม่ธรรมดา แถมประหยัดในระดับเกือบ 20 กม./ลิตร นอกจากนี้ฟีเจอร์ที่ให้มาเต็มๆคัน แถมยังเป็นการพัฒนาในระดับที่ว่าเข้าขั้นเทคโนโลยีแห่งการขับขี่ที่ไร้คนขับ เพียงแต่การสั่งงานระบบต่างๆนั้นต้องเข้าใจวิธีการ เพราะเลือกตั้งค่าได้จากหน้าจอกลางเพียงอย่างเดียว และเสียงเตือนการทำงานของระบบต่างๆไม่สามารถปิดได้ ถ้าปรับปรุงในจุดนี้ได้ และราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการเปิดมาอย่างสุดว๊าว Haval H6 Hybrid SUV จาก GWM น่าจะเข้าไปครองใจผู้ใช้รถชาวไทยได้ไม่ยาก วันที่ 28 มิถุนายนที่จะถึงนี้…รู้กัน
เพิ่มเติมให้อีกสักนิด Haval H6 Hybrid SUV รับประกันตัวรถ 5 ปี 150,000 กม. และแบตเตอรี่ไฮบริดรับประกัน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงการซื้อขายของ GWM จะทำการผ่านช่องทางออนไลน์ และสำหรับลูกค้าที่สั่งจองลอตแรกทั้งหมด เตรียมรับรายการส่งเสริมการขายดังนี้
-ดอกเบี้ย O% 48 เดือน
-ฟรี!!! ประกันภัย 1 ปี
-ฟรี!!! ส่งรถให้ถึงบ้าน
-ฟรีน้ำมันเต็มถัง
-แถมเรื่องบำรุงรักษาฟรีแบบรถยุโรป
-ฟรีบริการรับและส่งรถในกรณีที่นำรถเข้าตรวจเช็ค
-ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน