“กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ประเดิมงานแสดงยนตรกรรมแรกของปีได้ยิ่งใหญ่อลังการกับ “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์”ครั้งที่ 38 ซึ่งเปิดรอบสื่อมวลชนเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่ารถยนต์ค่ายยักษ์ทั่วเมืองไทยต่างพาเหรดนำโปรดักส์ใหม่ทั้งในรูปแบบของ “คอนเซ็ปต์ คาร์” และ “รถใหม่” ขึ้นโชว์ตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก มาดูกันครับว่างานนี้มีรถอะไรเด่น Autoworldthailand จัดให้
3 แบรนด์ดัง กับ 3 คอนเซ็ปต์คาร์
Toyota FCV Plus Concept
ในปีนี้ โตโยต้า ภูมิใจนำเสนอ Toyota FCV Plus Concept ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตของรถพลังงานทางเลือกแบบ Fuel-Cell ออกแบบภายใต้แนวคิด “การร่วมเป็นหนึ่งในหน่วยย่อยของสังคมยุคอนาคต”
Toyota FCV Plus Concept รถต้นแบบขนาดกะทัดรัด มิติตัวถังของรถสุดล้ำสมัยคันนี้ มีความยาวเพียงแค่ 3,800 มม. กว้าง 1,750 มม. สูง 1,540 มม. และความยาวฐานล้อมากถึง 3,000 มม.การออกแบบภายนอกมีความโดนเด่นในเรื่องของรูปลักษณ์ที่เน้นความล้ำสมัย เผยให้เห็นถึงอนาคต แผงเซลล์เชื้อเพลิงจะติดตั้งอยู่บริเวณ ด้านหลังล้อหน้าถัดจากถังเก็บไฮโดรเจนที่อยู่ระหว่างทีี่นั่งด้านหลัง และติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าอิสระทั้ง 4 ล้อ ทำให้พื้นที่ใช้สอยภายในรถค่อนข้างกว้างขวาง
ห้องโดยสารเป็นแบบ 2+2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากกระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากการใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้น โดยมีการทำปฏิกริยาทางเคมีใน cell stack เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้า แต่สามารถเปลี่ยนตัวเองจาก eco-cars ไปสู่ energy-cars ได้ด้วยระบบที่เชื่อมต่อต่อเข้ากับกริด (vehicle-to-grid)
สามารถพ่วงกับอุปกรณ์กักเก็บไฮโดรเจนภายนอก เพื่อใช้เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าให้กับครัวเรือน เมื่อใช้ต่อพ่วงกันเป็นกลุ่ม ก็จะสามารถเชื่อมต่อกับกริดไฟฟ้าซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของแหล่งชุมชนได้ เป็นต้น ซึ่ง โตโยต้า ใช้ชื่อเรียกระบบนี้ว่า Social Mode
Toyota FCV Plus Concept จะมีการออกแบบที่เชื่อมต่อกันทั้งภายนอกและภายใน โดยการเลือกใช้สีฟ้าเป็นส่วนประกอบแสดงให้เห็นถึงพลังงานสะอาด และความล้ำสมัย ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ระบบสร้างพลังงานไฟฟ้าโดยตรงจากบริเวณด้านหลังล้อหน้า ที่สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าได้ในระหว่างขับเคลื่อน
Nissan SOFC
หลังจากเสริมเขี้ยวเล็บใหม่ในรถยนต์กลุ่มอีโค่คาร์ โดยนำเสนอ Nissan Note งานนี้ยังได้ส่งคอนเซ็ปต์คาร์ข้ามย้ำข้ามทะเลมาจากร่วมโชว์ภายใต้ชื่อ Nissan SOFC ต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานเซลล์เชื้อเพลิงแบบออกไซด์แข็ง (Solid Oxide Fuel Cell – SOFC)แบบแรกของโลกที่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากเชื้อเพลิงเอธานอลชีวภาพ (Bio-Ethanol Electric Power)
รถต้นแบบคันนี้สร้างขึ้นภายใต้โครงงานการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อน Solid Oxide Fuel-Cell (SOFC)-powered system ซึ่งใช้พลังงานในการขับเคลื่อนจาก Bio-Ethanol Electric Power และถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ผู้ผลิตรถยนต์นำระบบนี้มาใช้ ซึ่งมีจุดเด่นคือ ระบบ e-Bio Fuel-Cell ที่มาพร้อมกับตัวสร้างพลังงานแบบ SOFC
สำหรับระบบ e-Bio Fuel-Cell เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “Nissan Intelligent Power” ในการนำเสนอรถยนต์กับสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการขับเคลื่อนและการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึงการขับขี่ที่สนุกสนาน ในห้องเครื่องยนต์ติดตั้งตัวเก็บประจุที่เก็บกระแสไฟฟ้าได้เป็นจำนวนมาก โดยตัวสร้างพลังงานแบบ SOFC มี แนวคิดหลักในการออกแบบ 3 ประการ คือ ประสิทธิภาพในการใช้งานสูงเดินทางได้ไกลมากขึ้น, จัดหาง่าย ด้วยต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีราคาต่ำ (สามารถใช้เอธานอลผสมน้ำ) และเป็นพลังงานสะอาด เนื่องจากไม่มีการปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศ
e-Bio Fuel-Cell สร้างกระแสไฟฟ้าผ่านทางเซลล์เชื้อเพลิงแบบออกไซด์แข็ง SOFC โดยใช้เอธานอลแบบชีวภาพ ซึ่งถูกเก็บไว้ที่ถังเชื้อเพลิงในตัวรถ แต่การผลิตไฮโดรเจนเพื่อทำปฏิกริยากับออกซิเจนนั้นมาจากการนำเชื้อเพลิงซึ่งก็คือ เอธานอลชีวภาพ สะกัดและแปรรูปผ่านทางอุปกรณ์รีฟอร์เมอร์ (Reformer) จากนั้นจึงส่งไฮโดรเจนเข้ามาทำปฏิกริยาเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าและส่งให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขับเคลื่อน
ข้อมูลจากการทดสอบด้วยความเร็วคงที่ รถยนต์ที่ใช้ระบบนี้สามารถทำระยะทางได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินทำได้ต่อการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 1 ถัง (มากกว่า 600 กิโลเมตร) นอกจากนั้น รถยนต์แบบ e-Bio Fuel-Cell ยังมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย
แน่นอนว่าต้นทุนในการใช้งานลดลงอย่างมาก เกือบเท่ากับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์พลังไฟฟ้าในยุคปัจจุบัน และถือว่าสามารถก่อให้เกิดประโยชน์สำหรับคนทั่วไปเช่นเดียวกับในภาคธุรกิจ เพราะว่า e-Bio Fuel-Cell สามารถรองรับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า เนื่องจากการเติมเชื้อเพลิงนั้นใช้เวลาไม่นาน และให้พลังงานที่ค่อนข้างสูง
Mitsubishi MiEV Evolution III
Mitsubishi MiEV Evolution III ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นรถแข่งพลังงานไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นที่สามที่ลงแข่งขันในรายการ Pikes Peak International Hill Climb ไต่เขาสุดมันส์ในรัฐโคโลราโดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งที่ผ่านมา บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ส่ง มิตซูบิชิ มิฟ อีโวลูชั่น 3 จำนวน 2 คัน ซึ่งได้ถูกพัฒนาให้เป็นรถแข่งที่ผนวกเทคโนโลยีรถพลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ดีที่สุดเข้าไว้ด้วยกัน
Mitsubishi MiEV Evolution III แตกต่างจากรุ่นเดิมหลายด้าน ทั้งการดัดแปลงแชสซีส์มาใช้เหล็กน้ำหนักเบา, มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังขับสูงขึ้นจาก 400 กิโลวัตต์ เป็น 450 กิโลวัตต์ ยางขนาดกว้างขึ้นจากขนาด 260/650-18 เป็น 330/680-18 เพื่อถ่ายทอดกำลังลงพื้นให้มากที่สุด ทั้งยังมีการ์ดบังลมด้านหน้าทำจากวัสดุคาร์บอนแบบใหม่ทำงานร่วมกับสปอยเลอร์เพื่อให้เป็นไปตามหลักแอโรไดนามิคที่มีประสิทธิภาพ
Mitsubishi MiEV Evolution III ได้ติดตั้งระบบควบคุม Super All Wheel Control (S-AWC) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและลดการลื่นไถลของล้อหลัง และยังมีระบบควบคุมการทรงตัว (Vehicle Dynamic Controls) นำไปสู่การขับขี่ที่มั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เวทีแจ้งเกิดรถใหม่หลากรุ่น
The all-new Audi Q2
ต้องบอกว่าเป็นการกลับมาที่อลังการกว่าเดิม สำหรับรถยนต์ค่ายสี่ห่วงแบรนด์ AUDI ภายในประเทศไทย ภายใต้การบริหารของคุณกฤษฎา ล่ำซำ โดยได้มีการแนะนำ The all-new Audi Q2 ซึ่งถือเป็นปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยนตรกรรมเอสยูวีรูปแบบสปอร์ตรุ่นล่าสุดคันนี้ได้รับการออกแบบให้สะท้อนไปถึงแนวคิดใหม่ของการดีไซน์รถยนต์แบบสปอร์ตที่ไม่อาจละสายตาได้ตั้งแต่แรกพบ
The new Audi Q2 รถยนต์พรีเมียมคอมแพค SUV ที่เป็นการเปิดเซ็กเมนต์ใหม่ของ Audi โดยเป็นการต่อยอดบนความสำเร็จจากการตอบรับอันดีเยี่ยมของกลุ่มลูกค้ารถยนต์ SUV หรือที่ Audi เรียกว่ารถยนต์ตระกูล “Q” Audi Q2 ได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สปอร์ต เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ผลิตขึ้นเพื่อการขยายฐานลูกค้าในวงกว้าง เป็นการเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ Audi ให้ดูหนุ่ม-สาว (rejuvenate) เพิ่มสเน่ห์ความน่าหลงใหลให้กับแบรนด์ Audi มากยิ่งขึ้น โดยยังคงไว้ซึ่งความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอันเป็นปณิธานสำคัญของ Audi
Audi Q2 ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ อัดอากาศด้วยระบบเทอร์โบชาร์จ ขนาด 1,395 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,500-3,500 รอบ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ S TRONIC 7 จังหวะ ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ด้วยเวลาเพียง 8.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 212 กม./ชม.
The all-new Audi Q2 จำหน่ายในราคา 2,298,000 บาท
BMW M760Li xDrive Model V12 Excellence
ค่ายใบพัดรุกหนัก เปิดตัวรถใหม่แทบทุกเซกเมนต์ เจ้าสัวหัวใจสปอร์ตต้องเลือกคันนี้ BMW M760Li xDrive Model V12 Excellence ยนตรกรรมกลุ่มลักซูรี่คาร์ระดับพรีเมี่ยม รูปลักษณ์ภายนอกแต่งเต็มด้วยแถบโครเมียมรอบคัน พร้อมติดตรา “V12” ที่ขอบฝากระโปรงท้าย
ซีดานหรูคันนี้ใช้ขุมพลังใหม่ล่าสุดจาก M Performance TwinPower Turbo ในรูปแบบของเครื่องยนต์สูบวี 12 สูบ ภายใต้ตราประทับ “M Performance” ความจุกระบอกสูบขนาด 6.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 448 กิโลวัตต์/610 แรงม้า ที่ 5,500 ถึง 6,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตรที่ 1,550 ถึง 5,000 รอบต่อนาที และสามารถให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 3.7 วินาที จำกัดความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ 8 สปีด Steptronic Sport ปรับแต่งตามความดุดันของเครื่องยนต์ V12 โดยเฉพาะ
ระบบกันสะเทือน Executive Drive Pro ทำงานร่วมกับระบบการรักษาเสถียรภาพรถแบบ Active roll ลดการสะเทือนของตัวรถให้น้อยที่สุด พร้อมความสปอร์ตเข้าขั้นกับชุดเบรก M Sport ใหม่ คาลิปเปอร์สีน้ำเงินเมทัลลิคติดตราอักษร M ภายใต้ล้ออัลลอย W-Spoke ขนาด 20 นิ้ว
BMW M760Li xDrive Model V12 Excellence ตั้งราคาจำหน่ายไว้ 12,499,000 บาท
BMW 530i M Sport และ BMW 520d Luxury
อีกหนึ่งรุ่นคือโฉมล่าสุดของ ซีรีส์ 5 ที่นอกจากน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนถึง 100 กิโลกรัม ตัวถังของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ใหม่ ยังมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พร้อมการกระจายน้ำหนักที่สมดุล และมีแรงเสียดทานอากาศต่ำสุดในรถระดับเดียวกัน จึงทำให้มีจุดเด่นในด้านความคล่องตัวผสมรวมกับความนุ่มสบายสำหรับผู้โดยสารได้เต็มประสิทธิภาพ
ดีไซน์ภายนอก โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED ที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับการออกแบบมาเพื่อบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ซีดาน ใหม่ โดยเฉพาะ โดยมีระบบปรับการกระจายแสงให้เหมาะสมกับเส้นทางที่ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม แสงสว่างในมุมอับในขณะเข้าโค้ง หรือระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติในระยะไกลสุด 500 เมตร
ภายในห้องโดยสาร มีการเพิ่มพื้นที่เก็บของและพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารในห้องโดยสาร นอกจากนี้ เทคโนโลยี SYNTAK (Special Synergy Thermoacoustic Capsule) ยังช่วยเสริมการเก็บเสียงของห้องโดยสารเพื่อความผ่อนคลายสูงสุดของผู้โดยสาร
ทั้ง BMW 530i M Sport และ BMW 520d Luxury มากับปุ่มควบคุมฟังก์ชั่นอัจฉริยะพร้อมระบบสัมผัส iDrive ซึ่งแสดงระบบนำทาง ระบบโทรศัพท์ ระบบความบันเทิง และระบบการทำงานของรถผ่านจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว โดยรองรับการควบคุมผ่านทาง iDrive Controller สั่งงานด้วยเสียงหรือท่าทาง หรือสัมผัสที่หน้าจอโดยตรง
สำหรับ BMW 530i M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร พร้อมมอบกำลังสูงสุด 185 กิโลวัตต์/252 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตันเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 129 กรัมต่อกิโลเมตร ลดลงจากรุ่นก่อน 11 เปอร์เซ็นต์ สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.2 วินาที เร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วน BMW 520d Luxury ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 132 กรัมต่อกิโลเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 7.5 วินาที เร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
BMW 530i M Sport ราคา 4,399,000 บาท และ BMW 520d Luxury 3,899,000 บาท
Chevrolet High Country STORM
Chevrolet High Country STORM เปิดตัวสู่สาธารณชน ด้วยรูปลักษณ์ที่มากับสีตัวถังใหม่ “Blue Me Away” สีน้ำเงินเมทัลลิกที่กำลังได้รับความนิยม พร้อมชุดตกแต่ง “STORM” ซึ่งทั้งหมดเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานของกระบะรุ่นธงของค่ายโบว์ไทพ์สีทอง
โดดเด่นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งสีดำทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ตบาร์ ล้ออัลลอยสีดำดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว มือจับเปิดประตู มือจับเปิดฝาท้ายและเส้นขอบหน้าต่าง รวมถึงกันชนท้ายพร้อมเซ็นเซอร์ถอยหลัง
Chevrolet High Country STORM ติดตั้งเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์แบบ 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 2.5 ลิตร ให้กำลัง 180 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที และแรงบิด 440 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งมีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนสองล้อและสี่ล้อ
ราคาจำหน่ายของ Chevrolet High Country STORM รุ่นขับเคลื่อนสองล้อ เกียร์อัตโนมัติอยู่ที่ 1,028,000 บาท และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเกียร์อัตโนมัติอยู่ที่ 1,098,000 บาท
Ford Everest 3.2 Titanium Plus
Ford Everest 3.2 Titanium Plus รถยนต์เจ้าของรางวัล Thailand Car of the year 2015 มากับรูปลักษณ์ภายนอกที่บึกบึน พร้อมสมรรถนะในการขับขี่ทั้งบนทางเรียบและทางออฟโรดอันเหนือชั้น ครบครันด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ล้ำสมัยมากมาย อาทิ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบช่วยควบคุมรถให้ขับขี่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) และระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System)
Ford Everest 3.2 Titanium Plus ติดตั้งเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะ ระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 3 รองรับ APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค TDCI VG Turbo ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบที่ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมฟังค์ชันบวก/ลบ
Ford Everest 3.2 Titanium Plus ราคา 1,769,000 บาท
Honda CR-V
ฮอนด้า ออโตโมบิลส์ ประเทศไทย จำกัด จัดงานเปิดตัว Honda CR-V ไปก่อนงานเริ่มเพียงแค่ 2 วัน และใช้งานนี้เป็นเวทีแจ้งเกิดอย่างเต็มภาคภูมิ การกลับมาของเอสยูวีรุ่นยอดนิยมนอกจากจะมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป ความหรูหรา เหนือระดับ ยังเพิ่มเติมมาเต็มพิกัด พร้อมทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ 2 รุ่น คือ เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 1.6 ลิตร และเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.4 ลิตร
Honda CR-V ชูจุดเด่นด้วยเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง นับเป็นความน่าตกใจกับการลงมาทำตลาดรถกลุ่มนี้ด้วยจำนวนเบาะถึง 7 ที่นั่ง พร้อม แอร์บนเพดาน สำหรับแถว 2 และ 3 แบบปรับแยกอิสระ ต้องยกให้ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบ Jam Protection และ Kick Sensor ซึ่งจะติดตั้งใต้บริเวณกันชนท้าย เพียงถือรีโมทรถยนต์ไว้กับตัว ยืนเท้าหรือเตะเบา ๆ ไปบริเวณใต้กันชนท้าย ประตูก็จะเปิดออกอัตโนมัติ
ไฮไลท์เด็ดของ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 5 อยู่ที่เครื่องยนต์ i-DTEC DIESEL TURBO ขนาด 1.6 ลิตร ติดตั้งระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ซึ่งผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO 5
เครื่องยนต์รุ่นนี้ส่งกำลังมาที่ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แบบ Shift By Wire ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าผ่านการกดปุ่ม P R N D ในรูปแบบไร้คันเกียร์ ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน 2.4 ลิตร ยังเป็นคันเกียร์อัตโนมัติดั่งเดิม
นอกจากนี้ยังเพิ่มในส่วนของตัวช่วยขับขี่อย่าง Agile Handling Assist หรือ AHA เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ รวมถึงระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (Motion-Adaptive Electric Power Steering-MA-EPS ) พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Real Time AWD ปรับปรุงระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ E-DPS ควบคุมการส่งกำลังไปยังล้อหลังด้วยระบบไฟฟ้า อีกทั้งชุดขับเคลื่อน 4 ล้อ มีน้ำหนักเบาและมีแรงเสียดทานลดลง
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งราคาจำหน่าย Honda CR-V เครื่องยนต์ดีเซล รุ่น DT EL 4WD ไว้ที่ราคา 1,699,000 บาท รุ่น DT E ราคา 1,549,000 บาท สำหรับเครื่องยนต์เบนซินรุ่น 2.4 EL 4WD ราคา 1,549,000 บาท และ รุ่น 2.4 E ราคา 1,399,000 บาท
Honda Civic Hatchback Turbo
จากการที่นำบอดี้ซีดานมาเปิดตลาด 1 ปีต่อมาฮอนด้า ก็นำ Honda Civic Hatchback Turbo มาเปิดตัวพร้อมจำหน่าย ภายใต้ความสปอร์ตและดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้า-หลังดีไซน์รังผึ้ง โคมไฟหน้าติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายรูปทรงตัว C โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยมุมมองด้านท้ายในสไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตู
ภายในห้องโดยสารให้ความสะดวกสบาย และกว้างขวาง พื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายที่จุได้ถึง 414 ลิตร พนักพิงของเบาะหลังสามารถปรับพับแยกได้แบบ 60:40 ทั้งยังติดตั้งม่านปิดสัมภาระที่สามารถเลือกปิดเก็บได้ทั้งซ้ายหรือขวา เพื่อป้องกันการมองเห็นสัมภาระที่อยู่ด้านท้าย
ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch ควบคุมฟังก์ชั่นความบันเทิง พร้อมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) และช่องเชื่อมต่อ USB ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay (เฉพาะสมาร์ทโฟนบางรุ่น) มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล
Honda Civic Hatchback Turbo ใช้ขุมพลังเบนซินขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 – 5,500 รอบต่อนาที ให้กำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร แต่มีอัตราการประหยัดน้ำมันใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร
Honda Civic Hatchback Turbo ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 1,169,000 บาท
ISUZU MU-X
ตรีเพชรฯ อีซูซุ เซลส์ จำกัด นำ อีซูซุ มิว-เอ็กซ์ รุ่นปรับโฉมมาแนะนำตัวสู่สาธารณชน พร้อมนิยาม Signature of Privilege ออกแบบใหม่ในด้านรูปลักษณ์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ให้มีความทันสมัยและสะดุดตา เริ่มจากกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ แบบ Sport 3D และไฟหน้าดีไซน์ใหม่ แบบ Bi-LED ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ พร้อมไฟ Daylight ที่อยู่ในโคมเดียวกัน โดดเด่นด้วยเส้นนำแสง LED Guiding Light เสริมลุคสปอร์ตด้วยไฟท้าย LED แบบ Sharp Horizon รวมถึงล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ 18 นิ้ว Cross Star และ Roof Spoiler สีทูโทน
ห้องโดยสารแต่งสีทูโทน Sandstone Beige ตัดด้วยสีดำเข้ม พร้อมการออกแบบภายในด้วยแนวคิด Universal Design เติมความสปอร์ตด้วยเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ Sport Cut แผงคอนโซลหน้า แผงข้างประตู และที่พักแขน เสริมความหรูด้วยลายไม้ Fine Walnut ที่แผงข้างประตู หัวเกียร์ และคอนโซลหน้า รวมถึงติดตั้งชุดแต่งสีดำ Piano Black บริเวณคอนโซลกลาง และแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า
หน้าปัดดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตด้วยขอบโครเมี่ยม พร้อมหน้าจอสีแสดงข้อมูลการขับขี่ Color Display MID คอนโซลกลางระบบความบันเทิง iConnect มาพร้อม Built-in Navigator หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อแบบไร้สายกับ Smartphone รวมถึงช่องเสียบ USB รองรับทั้ง Smartphone เครื่องเล่น MP3 และ Flash Drive
ขุมพลังมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ ที่เน้นความประหยัดน้ำมัน และ เครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ ที่เน้นความแรง ขับสนุก พร้อมด้วยเกียร์ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ แบบ REV TRONIC และเกียร์ธรรมดา พร้อมระบบ Genius Sport Shift และ อีซูซุอินไซท์
ISUZU MU-X เริ่มต้นจำหน่ายที่ราคา 1,099,000 บาท ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ 1.9Ddi CD สำหรับรุ่นท๊อพขับเคลื่อน 4 ล้อ 3.0Ddi DA DVD Navi จำหน่ายในราคา 1486000 บาท
Mazda MX-5 RF
ได้เฮกับ CX-3 จาการที่คว้ารางวัล Thailand Car of the Year ค่าย ซูม-ซูม ได้เวลาเผยโฉม Mazda MX-5 RF รถสปอร์ตโรดสเตอร์ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเปิดประทุนหลังคาแข็ง ซึ่งคำว่า RF ย่อมาจาก Retractable Fastback ในรูปแบบของหลังคาถอดได้และส่วนด้านหลังสามารถพับเก็บได้ สั่งการทำงานเพียงใช้ปลายนิ้วในการควบคุมการเปิด-ปิด ด้วยเวลาเพียง 12 วินาที ทำงานในขณะที่รถมีความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม.
ภายในนั้นยังคงใช้แบบเดียวกับ Mazda MX-5 Roadster เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังเนปป้า (Nappa) สีน้ำตาล Auburn ห้องโดยสารมีคุณสมบัติในการเก็บเสียงรบกวนที่น้อยกว่ารุ่น Roadster เมื่อปิดหลัง
Mazda MX-5 RF ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์ แบบเบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 2,000 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 20.38 กก.-ม. ที่ 4,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Activematic ซึ่งมาพร้อมโหมด Sport และ PaddleShift ทั้งยังรองรับเชื้อเพลิง อี20 ได้อีกด้วย
มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ตั้งราคาจำหน่าย Mazda MX-5 RF ไว้ที่ 2,800,000 บาท
Mercedes-Benz The new E-Class Coupé
ค่ายดาวสามแฉก ขนทัพรถหรูเข้ามาแสดงในงานกว่า 30 รุ่น และถือโอกาสเปิดตัวเปิดครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับ The new E-Class Coupé ที่ได้รับการปรับโฉมรูปลักษณ์ให้ดูเร้าใจมากยิ่งขึ้น มาพร้อมขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า ทั้งในด้านความยาวฐานล้อที่เพิ่มขึ้น 4.4 นิ้ว ความยาวตัวถังที่เพิ่มขึ้น 4.8 นิ้ว ความกว้าง 2.9 นิ้ว และความสูง 1.3 นิ้ว ซึ่งทำให้รถรุ่นนี้มีพื้นที่วางขาด้านหลัง หมอนรองศีรษะด้านหลัง และความกว้างของเบาะทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่เพิ่มมากขึ้น
ห้องโดยสารผสมผสานระหว่างความโฉบเฉี่ยวของรถสปอร์ต และความเรียบหรูในแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดดเด่นด้วยเบาะนั่งแบบ 2+2 ที่นั่ง พร้อมชุดหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว สามารถเลือกหน้าจอได้ 3 แบบ คือ Classic, Sport และ Progressive นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มสุนทรียภาพของการเดินทางด้วยระบบไฟในห้องโดยสารแบบ Amblient Light ที่ปรับสีได้ถึง 64 สี
The new E –Class Coupé มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง 1,991 ซีซี เทอร์โบคู่ และ ระบบเกียร์อัตโนมัติชุดใหม่ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลงช่วยให้สมรรถนะการขับขี่นุ่มนวลและ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี อาทิ ระบบ DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 5 แบบ คือ ECO, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual, ระบบ PRE-SAFE® Sound, ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist), ระบบแผนที่นำทาง (COMAND® Navigation), แผงควบคุมระบบสัมผัสบนพวงมาลัยใช้ง่าย และมีลักษณะคล้ายกับหน้าจอสมาร์ทโฟน หน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว
Mercedes-Benz The new E-Class Coupé ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 4,540,000 บาท
MG GS 1.5 T
MG ยังคงรุกหนักกับการนำเสนอรถยนต์หลากหลายโมเดล และในงานนี้พระเอกของค่ายรถสัญชาติอังกฤษยังคงเป็น MG GS เครื่องยนต์บล๊อคใหม่ในพิกัด 1.5 ลิตร เทอร์โบมาพร้อมสมรรถนะที่เร้าใจและยังประหยัดน้ำมันที่ดีมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับรูปลักษณ์ไม่แตกต่างไปจากรุ่น 2.0 T ซึ่งยังคงเพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่ครบครัน
นอกจากนี้ยังมีการปรับจูนระบบส่งกำลังและระบบช่วงล่างต่างๆ เพื่อรองรับกับเครื่องยนต์ใหม่ เอ็มจี พร้อมยกระดับเซกเมนท์รถอเนกประสงค์ (เอสยูวี) ให้สูงขึ้นด้วยบุคลิกการขับขี่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสมผสานกับเทคโนโลยีการสื่อสาร อินคาเน็ต ที่ล้ำสมัย
MG GS ใหม่ รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ TGI-TECH ระบบหัวฉีดไดเรคอินเจคชั่น ให้กำลังสูงสุด 167 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,700 – 4,400 รอบต่อนาที รองรับเชื้อเพลิง E85
MG ให้ทุกท่านจับจองเป็นเจ้าของกับราคาเริ่มต้นเพียง 890,000 บาท ในรุ่น 1.5 D และ 990,000 บาท ในรุ่น 1.5 X
MINI Country Man
MINI Country Man เจเนอเรชั่นที่สอง เปิดตัวอย่างในงานครั้งนี้ด้วยกัน 3 รุ่น ได้แก่ MINI Cooper Country Man , MINI Cooper S Country Man และ MINI Cooper S Country Man High Trim ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Mini Twinpower Turbo ที่เพิ่มสมรรถนะการขับขี่และกำลังขับเคลื่อน พร้อมพัฒนาในด้านดีไซน์รูปลักษณ์โดดเด่นรอบคันและมิติรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ตอบสนองการใช้งานพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ในรูปแบบรถยนต์เอนกประสงค์ พรีเมียม คอมแพ็ค
ขนาดความยาวมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 20 เซนติเมตร ความกว้างที่เพิ่มขึ้นอีก 3 เซนติเมตร และฐานล้อที่ยาวขึ้น 7.5 เซนติเมตร ทำให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ประกอบด้วย 5 ที่นั่งแบบเต็มตัว และช่องเก็บสัมภาระที่มีความจุเพิ่มขึ้น บริเวณช่องเก็บสัมภาระด้านหลังยังมี MINI Picnic Bench ซึ่งสามารถกางออกเป็นที่นั่งปิกนิกบริเวณท้ายรถได้ ส่วนฝากระโปรงท้ายควบคุมการปิดเปิดด้วยระบบไฟฟ้าเพียงใช้เท้าไปจ่อที่บริเวณใต้กันชนท้ายเมื่อมีกุญแจรถอยู่กับตัวเท่านั้น
นอกจากนี้ หน้าจอขนาด 8.8 นิ้ว ที่อยู่บริเวณกลางแผงคอนโซลรถมาพร้อมระบบสัมผั เป็นครั้งแรก พร้อมฟังก์ชั่นต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น MINI Country Timer ที่ช่วยตรวจจับการขับขี่บนพื้นถนนที่ท้าทาย MINI Connected ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวในยามเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นแผนที่นำทาง แสดงพิกัดของรถ ดูการจราจร ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ และสมาร์ทโฟน
สำหรับค่าตัวของ MINI Cooper Country Man ราคา 2,339,000 บาท MINI Cooper S Country Man ราคา 2,699,000 บาท และ MINI Cooper S Country Man High Trim ราคา 2,999,000 บาท
Mitsubishi Pajero Sport 2 WD
Mitsubishi Pajero Sport 2 WD ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์จะไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่ออฟชั่นและฟีเจอร์ต่างๆก็เทียบเท่ากับรุ่นขับ 4 ที่เป็นตัวท๊อพ มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย ด้วยระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมชะลอความเร็ว (FCM-Forward Collision Mitigation System) โดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ (Ultrasonic Misacceleration Migration System) และกล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor) ที่ประมวลภาพแบบ Bird’s Eye View เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบาย
Mitsubishi Pajero Sport 2 WD เริ่มต้นจำหน่ายในราคา 1,289,000 บาท สำหรับรุ่น 2.4 D GLS-LTD 2WD ส่วนรุ่น 2.4 D GT 2WD อยู่ที่ราคา 1,389,000 บาท
M’z SPEED New Estima
BRG ค่ายรถนำเข้าอิสระ ได้นำรถเอมพีวีที่ได้รับการติดตั้งชุดพาร์ทจากสำนักแต่งดังในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อรุ่น M’z SPEED New Estima ที่ตกแต่งด้วยอุปกรณ์เสริมพิเศษให้มีความโดดเด่นโดยเฉพาะ
ด้านรูปลักษณ์เพิ่มความดุดัน ด้วยชุดแต่งรอบคัน อาทิ สเกิร์ตด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังที่เสริมด้วยไฟ LED Fog Lamp พร้อมเพิ่มความสง่างามด้วยชุดท่อไอเสียปลายท่อคู่ 2 คู่ พร้อมโลโก้ M’z SPEED และล้อแม็ก ขนาด 19 นิ้ว ทำให้ยานยนต์รุ่นดังกล่าวโดดเด่นและเร้าใจมากขึ้น
Subaru The All-New IMPREZA
ทีซี ซูบารุ ประเทศไทย ซูบารุ สร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนคลับค่ายดาวลูกไก่ในเมืองไทย ด้วยการนำ Subaru The All-New IMPREZA รถยนต์เจ้าของรางวัล Japan Car of the Year 2016 มาร่วมแสดง ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้ ‘ซูบารุ โกลบอล แพลทฟอร์ม’ (Subaru Global Platform) โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเพื่อยกระดับมาตรฐานความสะดวกสบายในการขับขี่ รวมถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของตัวรถ
มิติตัวรถดูใหญ่ขึ้นแต่เตี้ยลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรีดอากาศ พร้อมกับการออกแบบเส้นสายข้างรถที่ให้ความปราดเปรียวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ แพลตฟอร์มใหม่จะมีความแข็งแรงมากขึ้นถึง 70-100% และสามารถลดการบิดตัวลง 50%
Subaru The All-New IMPREZA ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินสูบนอน ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 152 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ Linear CVT รุ่นใหม่ ที่สามารถปรับโหมดเป็น Manual Mode ได้มากถึง 7 จังหวะพร้อมเสริมความสนุกสนานในการขับขี่ด้วย Paddle Shift
ระบบช่วงล่าง Symmetrical All-Wheel Drive อันเป็นเอกลักษณ์ เพิ่มเทคโนโลยี Active Torque Vectoring (ATV) ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ Vehicle Dynamic Control (VDC) และ Traction Control (TRC)
นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัย Subaru Eyesight ที่ประกอบด้วยระบบป้องกันการชนทางด้านหน้า, ระบบเตือนการหลุดออกจากเลน, ระบบเตือนในกรณีรถแกว่ง Sway Warning, ระบบช่วยบังคับขับขี่ในช่องทาง Lane Keeping Assisted รวมไปถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control นอกจากนี้ยังได้บรรจุระบบความปลอดภัยมาตรฐานหลายรายการ
Suzuki Swift RX II
ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดการแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับ อีโค่คาร์รุ่นธง ในชื่อรุ่น Suzuki Swift RX II ซึ่งได้รับการเพิ่มเติมให้มีความโดดเด่น สะดุดตา ในรูปแบบของออฟชั่นที่ถูกติดตั้งเพิ่มเติม อาทิ โคมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ HID ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟตัดหมอกเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ได้ปรับใหม่มาพร้อมไฟ LED เปิด-ปิดตามการทำงานของไฟหรี่ ด้านบนหลังคามีเสาอากาศในรูปแบบของครีบฉลามและล้อแมกลาย 5 ก้านคู่สี Gun Metallic ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 185/55 R16
ภายในยังคงสไตล์เดิมๆไว้ครบถ้วน ทั้งลวดลายของเบาะนั่ง แผงข้าง รวมถึงคอนโซลกลาง จะมีก็แต่ระบบเกียร์แพดเดิลชิฟท์ที่ช่วยเพิ่มเติมอรรถรสในการขับขี่ให้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ออฟชั่นอย่างครูสคอนโทรลไม่ได้ถูกตัดออกไปแต่อย่างใด
ขุมพลังใช้เป็นเครื่องยนต์รหัส K 12 แบบเบนซิน 4 สูบ ขนาดความจุ ขนาด 1.25 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที จับคู่ด้วยชุดเกียร์แบบ CVT และรองรับน้ำมัน E20 รวมถึงระบบช่วงล่างยังคงใช้ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม
สำหรับ Suzuki Swift RX II ยังคงจำหน่ายในราคาเดิมเพียง 599,000 บาท
Tata Ultra
ค่ายรถแดนภารตะลุยตลาดรถบรรทุก ด้วยการนำเสนอ Tata Ultra รถบรรทุก 6 ล้อ ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 390 นิวตันเมตร ให้ความปลอดภัยด้วยระบบเบรกล้มล้วน วงจรคู่ พร้อมระบบ ABS ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย มีความประหยัดคุ้มค่าคุ้มราคาสำหรับทุกการดำเนินธุรกิจ
ทาทา มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมอบราคาพิเศษสำหรับลูกค้า ในช่วงเปิดตัวระหว่างงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 38 นี้ โดยสามารถสั่งซื้อได้ในราคาพิเศษเพียง 899,900 บาท เท่านั้น จากราคาปกติ 965,000 บาท
Volvo V90 D4
VolVo V90 นับเป็นการสานต่อตำนานรถเอสเตทที่เยี่ยมยอดและยาวนานของวอลโว่ โดยถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มของ Scalable Product Architecture (SPA) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยในวงการรถยนต์อีกครั้งด้วยเทคโนโลยี City Safety ซึ่งปัจจุบันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์วอลโว่ทุกรุ่น
ระบบ City Safety ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นใน Volvo V90 ด้วยการเสริมระบบการตรวจจับสัตว์ใหญ่ เสริมความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันการตกถนน Run Off Road Mitigation ที่ช่วยให้พวงมาลัยทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อให้ท่านคงแล่นอยู่บนถนน ส่วนระบบ IntelliSafe เป็นเสมือนศูนย์ความปลอดภัย จะทำหน้าที่ดูแลและสั่งการระบบความปลอดภัยย่อย ทั้งก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ วอลโว่ จึงเป็นผู้นำด้านการขับรถโดยไร้ผู้ขับอีกด้วย
V90 รุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ภายใต้แบรนด์ “Premium Sound โดย Bowers & Wilkins” ระบบเสียงชั้นนำชุดนี้มาพร้อมกับแอมพลิฟายเออร์ 1400 วัตต์ คลาส D ระบบขยายเสียง 12 แชนเนล ลำโพงจำนวน 19 ตัว พร้อมซับวูฟเฟอร์แยกออกมาอีก 1 ตัว
V90 D4 Inscription ขับเคลื่อนด้วยระบบเครื่องยนต์ Drive-E ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะเป็นรุ่น V90 D4 ซึ่งมีกำลังแรงสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,250 รอบต่อนาทีกับแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่ช่วง 1,750 ถึง 2,500 รอบต่อนาที ช่วยให้มีแรงเร่งออกตัวจากความเร็ว 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 8.2 วินาที แต่จิบเชื้อเพลิงเพียง 19.6 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 133 กรัมต่อกิโลเมตร พร้อมเปิดตัวด้วยราคา 4,190,000 บาท จำนวนจำกัดเพียง 30 คันเท่านั้น
สปอร์ตคาร์ต้องห้ามพลาด
Aston Martin Vanquish S
แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เปิดตัวยนตกรรมรุ่นพิเศษ New Vanquish S ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก หลังจากเผยโฉมครั้งแรกในโลกในงาน Geneva Motor show เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Vanquish S มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ V12 รุ่นปรับปรุงใหม่ พร้อมขุมพลัง 580 แรงม้า ขับเคลื่อน Vanquish S ให้มีความเร็วสูงสุดถึง 323 กม./ชม. และเพิ่มความเร็วจาก 0-100 ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาทีตอกย้ำด้วยชุดเกียร์ Touchtronic III แบบ 8 สปีด ปลายท่อไอเสียสี่ชุด พร้อมท่อร่วมไอดีแบบใหม่ที่ช่วยปรับปรุงระดับแรงลมของเครื่องยนต์
นอกจากนั้น ยังตอกย้ำความมีสไตล์ของยนตรกรรมรุ่นนี้ให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยดีไซน์แบบใหม่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ประกอบด้วย Front splitter และ Rear diffuser ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้อย่างมั่นคง และยกระดับภาพลักษณ์ภายนอกให้สะดุดตายิ่งขึ้น
Lamborghini Huracan Performante V10
Lamborghini Huracan Performante ซูเปอร์คาร์พันธุ์โหดของค่ายตรากระทิงดุ เผยโฉมให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มาพร้อมเครื่องยนต์บล็อกวี10 ความจุ 5.2 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศเหมือนกับฮูราคานรุ่นสแตนดาร์ด แต่ถูกอัพเกรดพละกำลังให้เพิ่มขึ้นเป็น 631 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ซึ่งมากกว่าเดิม 30 แรงม้า และ 40 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม.ต่อชม. ภายใน 2.9 วินาทีเท่านั้น และเร่งจาก 0-200 กม.ต่อชม. ใน 8.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 325 กม.ต่อชม.
ทั้งยังปรับปรุงระบบเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัตช์แบบ 7 สปีด รวมถึงระบบรองรับใหม่ นอกจากนี้ยังมีระบบบังคับเลี้ยวกลไกไฟฟ้า ระบบควบคุมเสถียรภาพ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาที่ทำให้ตัวรถเกาะถนนแน่นหนึบในทุกสภาวะ ส่วนตัวถังรถของ Lamborghini Huracan Performante ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิท มีระบบแอโรไดนามิกแบบแอคทีพอย่างสปอยเลอร์หน้า ฝากระโปรงเครื่องยนต์ แผงกันชนหลังพร้อมดิฟฟิวเซอร์ที่มี “ครีบ” สามารถเปิดปิดหักเหกระแสลมได้ตลอดเวลา ทั้งยังมีสปอยเลอร์หลังที่ช่วยให้ท้ายรถเกาะถนนมากขึ้นขณะเข้าโค้ง
Maserati Levante
Maserati Levante รถเอสยูวีสุดหรูจากค่ายรถสุดหรู เข้ามาอวดโฉมเป็นครั้งแรกในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ เอกลักษณ์อันโดดเด่นของมาเซอร์ราติ ด้านหน้าได้รับการออกแบบใหม่ให้ความรู้สึกถึงความก้าวร้าว ไฟหน้าทรงเรียวงามถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน โดยส่วนบนของโคมไฟใหญ่จะเชื่อมโยงเข้ากับกระจังขนาดใหญ่ที่ด้านหน้า ด้านข้างยังคงเน้นเส้นสายที่เรียบง่ายชัดเจน ซึ่งเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติหลากหลายรุ่น
ประตูขนาดใหญ่แบบไม่มีกรอบหน้าต่าง ประตูด้านหลังจะมีขนาดที่เรียวเล็กลง ผสานเป็นอย่างดีกับเส้นสายด้านข้างที่พลิ้วไหวราวกับสายน้ำ จุดเด่นดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะแสดงถึงความเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูง พร้อมยังมีระบบควบคุมการทำงานของโช๊คอัพด้วยไฟฟ้ารองรับอีกด้วย
Maserati Levante ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ ด้วยพละกำลัง 350 ถึง 430 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 275 แรงม้า 3 ลิตร V6 เทอร์โบ พร้อมระบบ “Q4” ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและรองรับด้วยระบบกันสะเทือนด้วยถุงลมที่มีมาตรฐานสูง
MCLAREN 720 S
สำหรับรถคันนี้ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นสัตว์ร้ายตัวใหม่ของวงการมอเตอร์สปอร์ต โดยเป็นซูเปอร์คาร์รุ่นที่ 2 ในตระกูลซูเปอร์ซีรี่ส์ของแมคลาเรน ซึ่งมีดีไซน์อันสวยงามโฉบเฉี่ยวพร้อมสมรรถนะและขุมพลังที่เหนือชั้น เบาะนั่งทั้งสองตำแหน่งถูกออกแบบมาให้มีความโค้งเฉพาะตัวที่สอดรับกับสรีระนักขับตามหลักอากาศพลศาสตร์
โครงช่วงล่างใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรม Monocage II ที่พัฒนาจากMcLaren P1 ที่มีนำหนักเบาลงกว่ารุ่น 650s ถึง 18 กิโลกรัม และใช้ระบบช่วงล่างแบบแอ็คทีฟที่ติดตั้งด้วยระบบควบคุม Proactive Chassis Control II ส่วนฝาครอบหลังคากระจกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษมอบวิสัยทัศน์อันน่าทึ่ง ไม่ว่าจะขับขี่ในโหมด Comfort, Sport หรือ Track มอบการควบคุมที่ง่ายดายและแม่นยำด้วยพวงมาลัยระบบไฟฟ้าไฮดรอลิก
MCLAREN 720 S เครื่องยนต์ V8 สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ใน 2.9 วินาที และ 0-200 ใน 7.8 วินาที ซึ่งโดดเด่นกว่าขู่แข่งในระดับเดียวกัน และทำความเร็วสูงสุดที่ 345 กม./ชม.
Porsche Panamera 4S
เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส เปิดตัว Panamera 4S รุ่นใหม่ล่าสุดครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นรถสปอร์ตซาลูน 4 ประตู เจเนอเรชั่นที่ 2 เส้นสายของตัวถังที่พลิ้วไหวไร้จุดสิ้นสุด แนวซุ้มล้อที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง แนวหลังคาด้านหลังที่ลดระดับความ สูงลงต่ำกว่าเดิมถึง 20 มิลลิเมตร
Panamera 4S สมบูรณ์แบบด้วยเครื่องยนต์ V6 ให้พละกำลัง 440 แรงม้า 324 กิโลวัตต์ เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ PDK พร้อมดีไซน์ใหม่สปอร์ตมากยิ่งขึ้น พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลากหลาย อาทิ ระบบช่วงล่างแบบถุงลม three-chamber air suspension ระบบช่วย เลี้ยวล้อหลัง rear axle steering และระบบควบคุมการทำงานของตัวถัง electronic 4D Chassis Control รวมไปถึงระบบช่วยเหลือล้ำสมัยอีกมากมายที่เพิ่มทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
Rolls-Royce Wraith Black Badge
โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก ประกาศเปิดตัวยนตรกรรมสุดหรูรุ่นพิเศษ Wraith Black Badge ครั้งแรกในประเทศไทยและแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาพร้อมรูปทรงแบบคูเป้ การออกแบบสุดพรีเมียม ทั้งงานดีไซน์และการเลือกใช้วัสดุต่างๆ ที่ถือว่าเป็นที่สุดของแต่ละด้าน
Rolls-Royce Wraith Black Badge มากับดีไซน์โฉบเฉี่ยว ฝากระโปรงยาวและห้องโดยสารด้านหลังกว้าง พร้อมรูปทรงแนวเส้นโค้งที่โลดแล่นยามราตรีได้อย่างไม่สะดุด Spirit of Ecstasy โครเมียมสีดำเป็นประกายที่ทอดเงาอยู่เหนือกระจังหน้าอันทรงพลัง นิยามใหม่แห่งเฉดสีดำสนิท พร้อมสะกดทุกสายตาด้วยช่องลม คิ้วฝากระโปรงหลัง และท่อไอเสียคู่ชุบโครเมียมสีดำ พร้อมด้วยตรา Rolls-Royce สีดำเช่นกัน
ห้องโดยสารใช้วัสดุระดับพรีเมียมทั้งคาร์บอนไฟเบอร์ และอะลูมิเนียมเกรดเดียวกันกับที่ใช้ในการสร้างยานอวกาศ ซึ่งมีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแกร่งมหาศาล ชุดเครื่องเสียงที่มาพร้อมขุมพลังสูงถึง 1,300 วัตต์ เบาะนั่งและงานตัดเย็บหนังที่มีคุณภาพสูงสุด
ขุมพลังที่ติดตั้งในรถคันนี้เป็นเครื่องยนต์แบบ V12 ขนาด 6.6 ลิตร 624 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 870 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 8 สปีด สามารถทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 4.5 วินาที ตอบสนองอย่างเหนือชั้นด้วยเทคโนโลยี Intuitive Throttle Response ที่ช่วยให้ลากเกียร์ได้นานขึ้นและเร่งเครื่องได้เร็วขึ้น ด้านของราคาจำหน่ายโรลส์-รอยซ์ เรธ แบล็คแบจ เคาะราคาอยู่ที่ 34.9 ล้านบาท พร้อมมีจำนวนจำกัดขายในประเทศไทยเพียงแค่ 3 คัน เท่านั้น
สำหรับงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์”ครั้งที่ 38 ยังสามารถเข้าชมได้จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2560 ตั้งแต่เวลา 12.00 น.-22.00 น. (วันธรรมดา) ส่วนวันหยุดนักขัตฤกษ์และเสาร์-อาทิตย์ เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 11.00 น.-22.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี