ปรับโฉมใหม่ในสไตล์ไมเนอร์เชนจ์กับ Honda CrV 2020 ทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลเทอร์โบ เพื่อรูปลักษณ์ทันสมัย และมากด้วยอรรถประโยชน์จากฟี่เจอร์ใหม่ทั้งชุดไฟแบบ Full Led หลังคาติดตั้งซันรูฟ และฝาท้ายมากับระบบ Kick Sensor แต่ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ไม่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยี Honda Sensing แบบในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ และการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มเติมประมาณ 30000 บาท ในรถรุ่นนี้จะมีความน่าสนใจขนาดไหน และสมรรถนะในการทดลองขับจะเป็นเช่นไร
หลังจาก Honda CRV เจนเนอเรชั่นที่ 5 ทำตลาดในเมืองไทยมากว่า 3 ปี ก็ถึงเวลาที่ต้องปรับโฉมในรูปแบบไมเนอร์เชนจ์ และรุ่นที่ได้นำมาริวิวทดสอบสมรรถนะในครั้งนี้คือรุ่น 2.4 ES 4WD หรือรุ่นรองท๊อพของเครื่องยนต์เบนซินนั่นเอง
แม้ว่าการปรับใหม่ในครั้งนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ก็ถือเป็นการเติมเต็มด้วยการเสริมหล่อด้วยชุดไฟหน้าแบบ Full Led พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Led Sequential รวมถึงปรับดีไซน์กันชนหน้าและหลังใหม่ ที่มาพร้อมกระจังแบบ Gloss black
ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วพร้อมยางขนาด 235/60 R18 จาก Toyo Tire เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ได้รับการออกแบบให้มีความสปอร์ตยิ่งขึ้น
ด้านบนหลังคาเสริมเท่ด้วยพาโนรามิคซันรูฟที่ควบคุมและสั่งการด้วยระบบไฟฟ้า
ส่วนของฝาท้ายแต่งใหม่ด้วยโครเมียมและไฟท้ายแบบรมดำ พร้อมตอบสนองทุกทุกการใช้งานด้วยฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติพร้อมระบบแฮนด์ฟรี (Hands-free Power Tailgate และปรับระดับความสูงของการเปิดฝากระโปรงท้ายได้ตามต้องการ ทั้งยังมีระบบ Jam Protection ป้องกันการหนีบ
ภายในห้องโดยสารมีการยกระดับอยู่หลายส่วนเริ่มจากแผงคอนโซลขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยลายไม้และวัสดุสีดำ Piano Black ซึ่งในรุ่นที่นำมาทดสอบนั้นเป็นแบบ 5 ที่นั่ง มีการเพิ่มเติมสำหรับเบาะนั่งหนังแท้ในส่วนของผู้ขับขี่นั้นมีหน่วยความจำให้ 2 ตำแหน่ง และในส่วนของเบาะนั่งผู้โดยสารสามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า
พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังค์ชั่น มีสวิตช์สั่งการทั้งเครื่องเสียงและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติรวมถึงระบบสั่งการด้วยเสียง Siri โดยจะแสดงผลการทำงานไปยังจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ซึ่งสามารถแสดงผลฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายรวมถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและ Driver Attention
บริเวณคอนโซลกลางมีระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay รวมถึงแสดงภาพจากกล้องมองหลังที่ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย/ขวา i-Dual Zone และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมเข้ามานั่นคือ Wiress Charger อุปกรณ์ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายที่ใช้งานได้ทั้งระบบ IOS และ Android
บริเวณคอนโซลเกียร์มีระบบเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Brake Hold และ Econ Mode ถัดมาเป็นช่องเก็บของบริเวณคอนโซลกลางที่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับการใช้งานได้ถึง 3 รูปแบบ
กระจกมองหลังเป็นแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ บนเพดานมีสวิตช์ควบคุมการเปิดปิดพาโนรามิคซันรูฟแบบไฟฟ้าที่ใช้งานง่าย
ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ ให้กำลังสูงถึง 173 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 224 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมรองรับพลังงานทางเลือก E85 และ E20 และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD
ระบบรองรับด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์และมาพร้อมเหล็กกันโครงด้วยเช่นกัน
ตัวช่วยการขับขี่นอกจากระบบเตือนขณะเมื่อยล้า Driver Attention ยังมีให้ครบครันทั้งระบบแสดงภาพมุมอับสายตา Honda Lane Watch,ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist,ระบบเพิ่มความคล่องตัวขณะขับขี่ Agille Handling Assist,ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย,สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ และระบบช่วยควบคุมการทรงตัว
ส่วนระบบความปลอดภัยมีทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า,ด้านข้าง และม่านนิรภัย ระบบเบรกเป็นดิสทั้ง 4 ล้อ และมีเอบีเอสรวมถึงกระจายแรงเบรกแบบอีบีดี
การทดลองขับในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับสมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร ที่มีทั้งแบบการใช้งานในเมืองและนอกเมือง
การขับขี่ในเมืองที่รถพลุกพล่าน ฟีเจอร์ Auto Brake Hold จะช่วยให้ขับขี่ได้สบายยิ่งขึ้น เพราะหากเปิดระบบ เมื่อไหร่ก็ตามที่รถหยุดสนิท ระบบจะทำการเบรครถอัตโนมัติโดยไม่มีการขยับเขยื้อน การทำงานอยู่ที่ 15 นาที หลังจากนั้นจะตัดระบบไปที่เบรกมือไฟฟ้าทันที และหากต้องการเคลื่อนที่ก็เพียงแค่เหยียบคันเร่ง ระบบก็จะปลดล๊อคให้อัตโนมัติ
ซันรูฟที่เป็นฟีเจอร์ใหม่หลายคนอาจจะชอบ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นนัก เพราะความร้อนที่สะสมภายในห้องโดยสารจะมากกว่ารถทั่วไป การใช้งานไม่ยากเพราะเป็นสวิตช์ในรูปแบบ One Touch กดเพียงครั้งเดียวก็สามารถควบคุมการทำงานทั้งปิดและเปิด ส่วน Wiress Charger ระบบนี้มีดี เพราะรองรับการชาร์จไฟของสมาร์ทโฟนได้ทุกระบบ
ขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้าพร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 224 นิวตันเมตร ต้องบอกว่ากำลังเหลือๆ แต่ถูกควบคุมความเกรี้ยวกราดด้วยระบบเกียร์ CVT เลยทำให้การไต่ระดับความเร็วอาจจะช้าไปสักนิด
พวงมาลัยออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาในความเร็วต่ำ แต่จะหน่วงเพิ่มขึ้นเมื่อความเร็วสูง จึงทำให้คุณผู้หญิงขับขี่ได้อย่างสบายๆ ทั้งยังรวมไปถึงกล้องมองหลังที่ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ทำให้การถอยจอดทำได้ง่ายขึ้น
ในการทดสอบด้านเสียงที่เข้ามาในห้องโดยสาร ผลลัพธ์ที่ได้อยู่ที่ประมาณ 74 เดซิเบล ซึ่งถือว่าค่อนข้างเงียบ เป็นผลพวงมาจากการติดตั้งกระจกแบบ Acoustic Glass และวัสดุซับเสียงภายในห้องโดยสาร แต่เพียงถ้าเปิดม่านซันรูฟออก ความดังจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 เดซิเบล
สำหรับอัตราบริโภคเชื้อเพลิงตามอีโค่สติกเกอร์อยู่ที่ 12.5 กม./ลิตร ความเร็ว 0-100 กม./ชม.อยู่ที่ประมาณ 13 วินาที และความเร็วที่ 120 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่ประมาณ 2,200 รอบ แต่เมื่อความเร็วสูง ระบบช่วงล่างให้อารมณ์นุ่มนวลต่างจากรุ่น i-DTEC ที่แน่นกว่าอย่างชัดเจน
โดยสรุปสำหรับ Honda CRV 2.4 ES 4WD นั้นเป็นรถเอสยูวีที่ให้สมรรถนะในการขับขี่ค่อนข้างดี ผู้หญิงใช้งานง่าย ถึงรูปลักษณ์จะได้รับก่ารปรับปรุงไม่มากนักจะมีก็แต่โคมไฟแบบ Full Led แต่ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ เน้นไปที่ความสะดวกสบายเป็นหลัก ทั้งฝากระโปรงท้ายที่เปิดปิดพร้อมระบบแฮนด์ฟรี Wiress Charger ในราคาที่เพิ่มเข้ามาประมาณ 30,000 บาท แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้นำระบบ Honda Sensing เข้ามาติดตั้งด้วย ซึ่งคู่แข่งในตลาดล้วนมีระบบตัวช่วยการขับขี่แทบทุกแบรนด์