Thursday, December 5, 2024
HomeAuto News“โตโยต้าแถลงยอดขายรถยนต์ปี 2561 พร้อมคาดการณ์ตลาดรวมในประเทศปี 2562 อยู่ที่ 1,000,000 คัน และตั้งเป้าหมายการขายโตโยต้าที่ 330,000 คัน”

“โตโยต้าแถลงยอดขายรถยนต์ปี 2561 พร้อมคาดการณ์ตลาดรวมในประเทศปี 2562 อยู่ที่ 1,000,000 คัน และตั้งเป้าหมายการขายโตโยต้าที่ 330,000 คัน”

มร.มิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2561 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2562 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 ณ ศูนย์ขับทดสอบรถยนต์ Toyota Driving Experience Park  มร.ซึงาตะ กล่าวว่า “ยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทยปี 2561 เติบโตเพิ่มขึ้น 19.2% โดยมียอดขายอยู่ที่ 1,039,158 คัน เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ผลักดันให้ GDP ของประเทศไทยเติบโต 4.2%* ส่งผลให้มียอดขายเกินหนึ่งล้านคันเป็นครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ของตลาดรถยนต์ไทย”

 
สถิติการขายรถยนต์ ในปี 2561**

 ยอดขายปี 2561เปลี่ยนแปลง      เทียบกับปี 2560
Ž ปริมาณการขายรวม  1,039,158 คัน   +19.2%
Ž รถยนต์นั่ง     397,542 คัน   +14.8%
Ž รถเพื่อการพาณิชย์     641,616 คัน   +22.1%
Ž รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)     511,676 คัน   +20.6%
Ž รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)     447,069 คัน   +22.6%

ดยโตโยต้ามียอดขาย 315,113 คัน เติบโต 31.2% โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 30.3% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2.8 จุด  แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 112,394 คัน เพิ่มขึ้น16.3% รถเพื่อการพาณิชย์ 202,719 คัน เพิ่มขึ้น 41.2% และรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์ 177,047 คัน เพิ่มขึ้น 32.7%
*หมายเหตุ : ตัวเลขการเติบโตของ GDP เป็นตัวเลขประมาณการ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 2 มกราคม 2562
**หมายเหตุ : ตัวเลขยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทยปี 2561 เป็นตัวเลขประมาณการ ณ วันที่ 21 มกราคม 2562

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้า ในปี 2561

ยอดขายปี 2561เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2560ส่วนแบ่งตลาดส่วนแบ่งตลาด (เติบโต จุด)
 ปริมาณการขายโตโยต้า 315,113 คัน +31.2%    30.3% +2.8*
  • รถยนต์นั่ง
112,394 คัน+16.3%   28.3%      +0.4*
  • รถเพื่อการพาณิชย์
202,719 คัน +41.2%   31.6%         +4.3*
  • รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)
177,047 คัน +32.7%34.6% +3.2*
  • รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)
150,928 คัน+37.2%33.8% +3.6*

ด้านการส่งออกโตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 293,940 คัน ลดลง 1.8% คิดเป็นมูลค่า 154,560 ล้านบาท ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ มูลค่า 119,284 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการส่งออกที่นำรายได้กลับสู่ประเทศไทยเป็นเงินทั้งสิ้น 273,844 ล้านบาท ลดลง 2.6% นอกจากนี้ยอดการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกจำนวน 588,939 คัน เพิ่มขึ้น 12.5%
สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ปี 2562 มร.ซึงาตะ กล่าวว่า “แนวโน้มตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2562 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 1,000,000 คัน เนื่องจากการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ในตลาดรถยนต์”

 
ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2562

ยอดขาย  ประมาณการปี 2562    เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2561           
  • ปริมาณการขายรวม
1,000,000 คัน  -3.8%
  • รถยนต์นั่ง
384,900 คัน -3.2%
  • รถเพื่อการพาณิชย์
615,100 คัน  -4.1%
  • รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)
494,500 คัน-3.4%
  • รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)
430,500 คัน-3.7 %

โดยโตโยต้าตั้งเป้าหมายการขายสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้ไว้ที่ 330,000 คัน เพิ่มขึ้น 4.7% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 120,400 คัน เพิ่มขึ้น 7.1% รถเพื่อการพาณิชย์ 209,600 คัน เพิ่มขึ้น 3.4% และ รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์ 180,500 คัน เพิ่มขึ้น 2%

 
ประมาณการขายรถยนต์ของโตโยต้า ในปี 2562

ยอดขายปี 2561           เปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งตลาด      
ปริมาณการขายรวม330,000 คัน  +4.7%33.0%
  • รถยนต์นั่ง
120,400 คัน+7.1%31.3%
  • รถเพื่อการพาณิชย์
209,600 คัน+3.4%34.1%
  • รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)
 180,500 คัน+2.0% 36.5%
  • รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถรถกระบะดัดแปลง)
154,000 คัน+2.0%35.8%

 *หมายเหตุ : ตัวเลขยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทยปี 2561 เป็นตัวเลขประมาณการ ณ วันที่ 21 มกราคม 2562
 
สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ คาดการณ์ไว้ว่าปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 270,000 คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 8% คิดเป็นมูลค่า 137,303 ล้านบาท ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ มูลค่า 120,662 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการส่งออกที่นำรายได้กลับสู่ประเทศไทยเป็นเงินทั้งสิ้น 257,965 ล้านบาท ลดลง 5.8% โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง รวมถึงตลาดในกลุ่มประเทศอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ นอกจากนี้แผนการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกจะอยู่ที่ 577,000 คัน ลดลง 2%
มร.ซึงาตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปัจจุบันโตโยต้ากำลังเผชิญกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและ     แนวโน้มใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้เรามีความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์สู่การเป็นองค์กรแห่งการขับเคลื่อน (Mobility Company) รวมถึงการให้บริการทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับระบบการเดินทาง ซึ่งในปี 2560 เราได้ริเริ่มโครงการ “CU TOYOTA Ha:mo” ภายใต้ความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาความต้องการและเงื่อนไข Ride Sharing ในเขตชุมชนเมือง จากผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมาเราได้การตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งานถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า (ever-better mobility)

นอกจากนี้ โตโยต้ายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและตอบสนองนโยบายของภาครัฐที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเราจึงเริ่มการผลิตแบตเตอรี่ไฮบริดในประเทศให้เร็วขึ้นโดยจะเริ่มการผลิตที่โรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ในเดือนพฤษภาคมนี้ พร้อมทั้งโตโยต้ายังได้ริเริ่มโครงการการจัดการแบตเตอรี่ทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ซึ่งประกอบไปด้วย

  1. Rebuilt : คือ การนำแบตเตอรี่ใช้แล้วมาทำการคัดแยกโมดุล (เซลล์) ที่ยังสามารถใช้งานได้ นำมารวบรวมและจัดเรียงใหม่ ประกอบเป็นแบตเตอรี่ใหม่ที่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง
  2. Reuse : คือ การนำแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วมาทำการคัดแยกโมดุล (เซลล์) ที่ยังคงมีประสิทธิภาพในการเก็บพลังงานไฟฟ้า นำมาประกอบเข้ากับระบบ BMS (Battery management system) ที่ควบคุมการรับและจ่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อใช้เป็นแหล่งเก็บพลังงานงานสำรอง (Energy storage)
  3. Recycle : กรณีที่โมดุลที่ผ่านการคัดแยกไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ จะถูกนำไปผ่านกระบวนการเผาเพื่อคัดแยกแร่ธาตุ และนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ก้อนใหม่


โครงการที่กล่าวมานี้จะช่วยลดการเกิดขยะและเสริมสร้างให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนในประเทศ ภายใต้แนวคิดการจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งช่วยลดปริมาณการนำเข้าแบตเตอรี่และยังช่วยให้ลูกค้าสามารถลดต้นทุนการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฮบริดได้อีกด้วย
นอกจากนี้เรายังมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานเพื่อสังคมให้ดียิ่งขึ้น (ever-better society) ผ่านกิจกรรมต่างๆ เริ่มจากโครงการ “โตโยต้า เมืองสีเขียว อยุธยา” ศูนย์การเรียนรู้แห่งแรกนอกโรงงานที่ได้เปิดตัวไปในปีที่ผ่านมา ครั้งนี้เราตั้งใจที่ต่อยอดโครงการโดยการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมไปยังชุมชนท้องถิ่นอีก 8 จังหวัด ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการ “Toyota City Challenge” ซึ่งเราเชื่อว่าจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นสำหรับคนไทยทุกคน

และสำหรับโครงการโตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ ที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการปรับปรุงธุรกิจชุมชนใน 7 จังหวัด รวมถึงจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ 2 แห่ง ที่จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดขอนแก่น ในปีนี้เรามีความตั้งใจอย่างต่อเนื่องในการพัฒนา SMEs โดยวางแผนปรับปรุงธุรกิจชุมชนเพิ่มอีก 10 จังหวัด และจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งที่ 3 อีกทั้งยังร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้โครงการพัฒนาศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) และโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)  ให้สามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน”
มร.ซึงาตะ กล่าวปิดท้ายว่า “อย่างที่ทุกท่านทราบ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก ภายใต้แนวคิด “Start Your Impossible” เพื่อทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้…ให้เป็นไปได้ สำหรับประเทศไทย เรามีแผนจะร่วมมือกับคณะกรรมการโอลิมปิกและพาลาลิมปิกแห่งประเทศไทย เพื่อให้การสนับสนุนและช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้นักกีฬาชาวไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันในฐานะตัวแทนประเทศไทยที่กรุงโตเกียวในปี 2563 สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมจะเปิดเผยในงานแถลงข่าวที่จะจัดขึ้นในกลางปีนี้”

RELATED ARTICLES

Most Popular