Saturday, March 15, 2025
HomeAuto TestTest Driveทดลองขับ SUZUKI ERTIGA เอมพีวี 7 ที่นั่ง ทางเลือกใหม่ เพื่อคนที่คุณรัก

ทดลองขับ SUZUKI ERTIGA เอมพีวี 7 ที่นั่ง ทางเลือกใหม่ เพื่อคนที่คุณรัก

ทดลองขับ SUZUKI ERTIGA
เอมพีวี 7 ที่นั่ง ทางเลือกใหม่ เพื่อคนที่คุณรัก

ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ถือโอกาสเปิดตัวควบคู่ไปกับการทดสอบ สำหรับ SUZUKI ERTIGA รถเอนกประสงค์ 7 ที่นั่ง นำเข้าทั้งคันจากประเทศอินโดนีเซีย โดดเด่นด้วยการปรับโฉมใหม่เพื่อให้มีรูปลักษณ์ที่เข้มขึ้นในสไตล์สปอร์ต พร้อมรีดน้ำหนักลงกว่าเดิมถึง 70 กิโลกรัม ซึ่งเป็นผลพวงจากวิวัฒนาการของการผลิต เพิ่มความสะดวกสบายด้วยช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ 3 เพื่อความสะดวกสบายในขณะเดินทางตามคอนเซปต์ “ทางที่คุณเลือก เพื่อคนที่คุณรัก”

หลังจากกวาดยอดจำหน่ายรวมกว่า 21,000 คัน ในปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นตัวเลขการเติบโตกว่าปีก่อนถึง 5.5 % โดยมีรถธงอยู่ในเซกเมนต์ของอีโค่คาร์ ทั้งรุ่น Swift, Ciaz, และ Celerio แต่สำหรับ Ertiga เป็นรถเพียงรุ่นเดียวที่อยู่ในเซกเมนต์ของรถเอนกประสงค์ และจากการที่ตลาดรถเอนกประสงค์ภายในประเทศเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็นผลให้ค่ายรถยนต์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญซึ่งซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทยก็พร้อมที่จะชักธงรบกับค่ายคู่แข่งด้วยการนำเสนอโปรดักส์ใหม่และขยายศูนย์บริการ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 110 แห่งจากเดิมซึ่งมีเพียง 99 แห่งทั่วประเทศ โดยจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในปีนี้

ผมขอเล่าความถึงที่มาที่ไปของรถคันนี้ก่อนที่จะเข้าสู่การทดสอบแล้วกันครับ Ertiga เป็นรถมินิ เอมพีวีที่ใช้แพลมฟอร์มเดียวกันกับ Swift แต่ด้วยวิวัฒนาการของการผลิตจากแดนอิเหนา ทำให้ Ertiga โมเดลล่าสุดออกมาสู่สาธารณชนในรูปแบบของรถ 7 ที่นั่ง ซึ่งมีน้ำหนักตัวเบาลงกว่ารุ่นเดิมถึง 70 กก. ทั้งยังได้รับการปรับโฉมให้ดูโฉบเฉี่ยว โดยแบ่งรุ่นย่อยออกเป็น 2 รุ่น ในชื่อ DREZA และ GL ซึ่งมีความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์อย่างชัดเจนความแตกต่างในขนาดมิติของ Ertigaใหม่อยู่ที่ความยาวของตัวรถ รุ่น GL มีความยาว 4,265 มม. และ รุ่น Dreza จะยาวกว่า 60 มม.ซึ่งเป็นความยาวที่เพิ่มมาจาก Roof end Spoiler รูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวในรุ่น Dreza สัมผัสได้ตั้งแต่แรกเห็น โดยทีมผู้ออกแบบปรับเปลี่ยนแผงหน้าใหม่ยกชุด ตั้งแต่โคมไฟ หน้ากระจัง และกันชน รวมถึงสเกริต์ข้างและสปอยเลอร์ สลัดภาพเดิมๆในรุ่นที่แล้วออกไปอย่างสิ้นเชิง จะเหลือเค้าโคลงของรุ่นก่อนเพียงแค่ชิ้นส่วนไฟท้าย แต่ก็ได้เติมแต่งด้วยแผงทับทิมและตราสัญลักษณ์แถบโครเมียม ส่วนในรุ่น GL อาจจะออกแบบดูเรียบง่ายไปสักนิดและยังมีหลายๆส่วนที่คล้ายคลึงกับรุ่นเดิม จุดที่ปรับแต่งได้ชัดเจนที่สุดคือไฟหน้าและกันชนที่ฝังไฟตัดหมอกมีความใหญ่ขึ้น อีกหนึ่งจุดที่ต่างกันคือล้ออัลลอย ในรุ่น DREZA ออกแนวสปอร์ต ส่วนรุ่น GL เป็นลาย 5 ก้าน ซึ่งทั้ง 2 รุ่นเลือกใช้ล้อขนาดเดียวกันและหุ้มด้วยยาง 185/65 R15

ห้องโดยสารเป็นแบบ 7 ที่นั่งทั้ง 2 รุ่น ในส่วนของ Dreza แต่งแบบทูโทนหุ้มเบาะนั่งด้วยผ้าสีเทา สำหรับ GL หุ้มผ้าสีเบจ เบาะนั่งแถวที่ 2 เลื่อนปรับเลื่อนหน้า-หลังได้กว้างกว่ารุ่นเดิม พร้อมติดตั้งระบบปรับอากาศให้กับผู้โดยสารบริเวณแถว 2 และ 3 ชุดคอนโซลและแผงมาตรวัดยังคงรูปแบบของรุ่นก่อนไว้อย่างลงตัว จะมีที่ได้รับการตกแต่งเพิ่มก็เพียงลายไม้ที่แผงข้างและขอบล่างชายคอนโซลในรุ่น Dreza ส่วนอุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบายยังอยู่ครบ อาทิ ระบบเครื่องเสียงแบบ 2 DIN พร้อมเครื่องเล่นวิทยุ ซีดี รวมถึงกุญแจรีโมท และกระจกไฟฟ้า

Ertiga ทั้งสองรุ่นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินรหัส K14B แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาดความจุ 1,373 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 92 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 จังหวะ รองรับการขับขี่ด้วยช่วงล่างหน้าระบบแม็กเฟอร์สันสตรัทพร้อมคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นระบบทอร์ชั่นบีม ทำงานร่วมกับคอยล์สปริงเช่นกัน รวมถึงติดตั้งระบบความปลอดภัย อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อล๊อค ABS และ กระจายแรงเบรค EBD มารพ้อมเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และสัญญาณเตือนขณะถอยหลังในรถทั้ง 2 รุ่น

มาถึงช่วงของการทดลองขับ เส้นทางในครั้งนี้เริ่มจากอ.เมือง จ.พิษณุโลก ผ่านอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย แล้วจึงกลับเข้ามายังจ.พิษณุโลก รวมระยะทางกว่า 300 กม. ถึงแม้ Ertiga จะเป็นการปรับปรุงแบบไมเนอร์เชนจ์ ที่เปลี่ยนลุดส์รูปลักษณ์ภายนอกและตกแต่งภายในใหม่ โดยใช้เครื่องยนต์และระบบช่วงล่างเดิม แต่ความโดดเด่นจากวิวัฒนาการด้านการผลิตที่ทำให้ตัวรถมีนน.เบาลง 70 กก. จุดนี้ส่งผลให้การควบคุมทำได้คล่องตัวยิ่งขึ้นทั้งที่เป็นรถแบบรูปทรงกล่องซึ่งอาจจะมีปัญหาต่อการต้านลมก็ตามที พวงมาลัยออกแบบมาให้เบาแรง แต่ได้มาซึ่งการควบคุมที่กระชับ ฉับไว ส่งผลให้ขับขี่ไปในทิศทางที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ในด้านของสมรรถนะเครื่องยนต์รหัส K 14 B ซึ่งให้กำลังสูงสุดเพียง 92 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ส่วนตัวผมชอบมากกว่า CVT ที่อยู่ใน Swift เสียอีก เพราะไม่ต้องเค้นรอบให้สูง แรงบิดถูกส่งออกตามรอบเครื่องยนต์ที่ต้องการ ช่วงทางตรงยาว ความเร็วสามารถทำได้ 160 กม./ชม. อย่างสบายๆ นอกจากนี้ทางค่ายผู้ผลิตได้เคลมตัวเลขความประหยัดไว้ที่ 15.4 กม./ลิตร มากกว่ารุ่นเดิมที่ทำได้เพียง 14.9 กม./ลิตร

สิ่งที่โดดเด่นซึ่งจะไม่พูดถึงไม่ได้นั่นคือความกว้างขวางของห้องโดยสาร เบาะนั่งแถวหน้าคงไม่ต้องพูดถึง เพราะปรับระดับได้ตามสรีระ ไฮไลท์คือ แถวที่ 2 หากวัดจากคนนั่งที่มีส่วนสูงกว่า 180 ซม. ยังไงก็ไม่อึดอัด ทั้งยังเลื่อนเข้า-ออกโดยคันโยกใต้เบาะที่แทบไม่ต้องออกแรงดึง พนักพิงสามารถปรันเอนนอนได้สบาย เพราะผมเองก็หลับคาเบาะไปได้เกือบ 1 ตื่น เบาะนั่งแถวที่ 3 สำหรับเด็ก และสตรี อาจจะไม่ใช่ปัญหาของส่วนนี้ แต่ในกรณีนี้ถ้าเป็นบุรุษเพศ ร่างกายกำยำ อาจจะดูอึดอัดไปสักนิด ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะนั่งไม่ได้เลย และไม่ต้องกังวลเรื่องศรีษะจะติดเพดาน เพราะ Ertifga ได้รับการออกแบบให้ภายในดูสูงโปร่ง อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้คือช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทั้ง 2 แถว ซึ่งเป็นการส่งต่อความเย็นจากด้านหน้าโดยเพิ่มโบว์เออร์อีก 1 ชุด บริเวณเพดาน รถที่ทำการทดสอบในครั้งนี้ไร้ซึ่งฟิลม์กรองแสง หนำซ้ำอากาศภายนอกตัวรถยังแจ้งมาที่แผงมาตรวัดอยู่ที่ 34 องศา แต่ลมเย็นๆก็ช่วยทำให้เกิดสุนทรีย์แห่งการขับขี่ ไม่ต้องทนร้อนกับการกระจายความเย็นที่ไม่ทั่วถึงจากมิติห้องโดยสารที่มีความใหญ่โตและกว้างขวางนั่นเอง

RELATED ARTICLES

Most Popular