รถใหม่ป้ายแดงที่ได้ทำการทดสอบในครั้งนี้เป็นรถหรูน้องใหม่ไซส์เล็กขวัญใจมหาชนกับ The new Mercedes-Benz C220d AMG Dynamic ประกอบในประเทศ ที่มาพร้อมกับความทันสมัย เพิ่มความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง AMG และยังมีสมรรถนะที่โดดเด่น จากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร พัฒนาใหม่พร้อมระบบ Mild Hybrid ด้วยความเร้าใจของสมรรถนะ จึงเป็นเหตุให้สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ถูกใช้เป็นสถานที่ทดสอบขุมพลังอันเร้าใจ ไปดูกันครับว่า เบบี๋เบนซ์ เมื่อใช้งานในสนามแข่ง จะมีความคุ้มค่าและน่าสนใจเพียงใด เรื่องราวทั้งหมด พร้อมให้รับชม
The new Mercedes Benz C Class ในรหัส W206 น้องใหม่ล่าสุด ที่ เมอร์เซเดส เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตัวและให้จับจองเป็นเจ้าของเมื่องานมอเตอร์ โชว์ครั้งที่ผ่านมา โดยมีด้วยกัน 2 รุ่นประกอบในเทศ ได้แก่ C220d Avangard ราคา 2,599,000 บาท และ C22d AMG Dynamic ราคา 2,999,000 บาท
รุ่นที่เราได้นำมาทดสอบนั่นคือ C 220d AMG Dynamic ซึ่งแตกต่างกับอีกรุ่น จะมีเพียงแค่ลายล้อ และชุดแต่ง ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แบบสปอร์ตและขนาดตัวรถที่กว้างขึ้นในทุกมิติ
ไฟหน้าเป็นแบบ Multibeam LED เพิ่มระบบไฟสูงที่ส่องไกลได้ถึง 650 เมตร มาพร้อมกระจังและกันชนหน้าลายใหม่จาก AMG ด้านท้ายมีท่อไอเสียออกคู่ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ในส่วนของฝาท้ายติดตั้งระบบแฮนด์ฟรี
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟติดตั้งมาให้เสร็จสรรพ สำหรับล้อเป็นของ AMG ด้วยเช่นกันในขนาด 19 นิ้ว แต่ยางคนละไซส์ ด้านหน้าขนาด 225/40 ส่วนด้านหลังใข้ขนาด 255/35
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ออกแบบโดยมีต้นทางมาจาก S Class แต่ลดขนาดลง เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง สลับกับผ้าไมโครไฟเบอร์เดินด้ายคู่สีแดง เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรัยและพับได้ด้วยไฟฟ้า ส่วนตอนหลังสามารถปรับเอนพนักพิงได้เล็กน้อย มือเปิดประตูออกแบบเก๋ๆ สไตล์ใหม่
ห้องโดยสารปรับสีได้ 64 เฉด ทันสมัยด้วยจอดิจิตอลขนาดใหญ่ ชุดมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว เลือกการแสดงผลได้ทั้งแบบ Classic Sport และ Super Sport
พวงมาลัยเปลี่ยนเป็น AMG Performance แบบใหม่ พร้อมปุ่มกด Touch Control และบนกระจกมีการแสดงผลของหน้าจอเฮดอัพดิสเพลย์
หน้าจอกลางขนาด 11.25 นิ้วแนวตั้งคล้ายไอแพด มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX ระบบสั่งการด้วยเสียง Hey Mercedes และเพิ่มเติมในส่วนของ Mercedes Me Connect ประกอบด้วยระบบโทรออกฉุกเฉิน ระบบวิเคราะห์สภาพรถยนต์ และฟังค์ชั่นสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อเปิดระบบปรับอากาศด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อได้กับสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android Auto และ Apple Carplay ขับกล่อมความบันเทิงผ่านลำโพง Burmaster
ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติแบบแยกฝั่งทั้งซ้ายและขวา ซึ่งมีช่องระบายความเย็นไปยังท้ายรถอีกด้วย
ถัดมาบริเวณคอนโซลกลาง จะมีสวิทช์ Dynamic Select ซึ่งเป็นโหมดการขับขี่ทั้ง Eco Normal Sport และ Sport+ และเพิ่ม Sliperry สำหรับใช้งานบนสภาพพื้นที่เปียก นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบ USB ให้มากมาย ทั้งแบบปกติ และ USB C รวมถึง Wiress Charger
เบบี๋ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า พร้อมแรงบิด 440 นิวตันเมตร โดยมีระบบ Mild Hybrid ขนาด 48 โวลท์ ที่ให้กำลังสูงสุด 15 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 200 นิวตันเมตร มาช่วยแบ่งภาระของเครื่องยนต์ไปยังไดนาโม ระบบปรับอากาศ หรือระบบไฟอื่นๆ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์9G Tronic ที่โดดเด่นด้านการปรับอัตราทดที่นุ่มนวล โดยขุมพลังนี้สามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 7.3 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม.
ระบบรองรับเป็นแบบ Agility Control มาพร้อมระบบความปลอดภัยอีกเพียบ ทั้งระบบจำกัดความเร็วและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบเตือนแรงดันลมยาง ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา รวมถึงระบบช่วยจอดและกล้องมองภาพรอบคัน ที่น่าเสียดายและเป็นเพียงไม่กี่อย่างที่ขาดไป แต่นั่นคือระบบความปลอดภัยของยุคสมัย Adaptive Cruise Control และระบบเตือนพร้อมดึงกลับเมื่อรถออกนอกช่องทาง
การทดสอบในครั้งนี้อย่างที่เกริ่นนำไว้ นั่นคือ เป็นการขับบนสนามแข่ง เพื่อหาสมรรถนะของเบบี๋เบนซ์ รุ่นล่าสุด ในส่วนของ Mild Hybrid นั้นคงไม่สำคัญสักเท่าไหร่กับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
เครื่องยนต์ดีเซล ไบเทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า พร้อมแรงบิด 440 นิวตันเมตร เมื่อต้องเค้นพลัง ต้องบอกว่าแรงเอาเรื่อง แต่ระบบส่งกำลัง 9G Tronic ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการปรับเปลี่ยนอัตราทดที่นุ่มนวล การใข้กำลังเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ในกรณีที่ต้องปรับอัตราทด เพื่อเป็นตัวช่วยเบรก อาจจะข่วยได้น้อยไปสักนิด
สำหรับการเบรกต้องชื่นชม เพราะมีการกระจายแรงเพื่อรักษาสมดุลของตัวรถ ทำให้การเข้าโค้งนั้นแม่นยำ และมีระยะหยุดรถที่สั้น เนื่องจากเบรกมีประสิทธิภาพสูง
น้ำหนักพวงมาลัยก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ทำให้ได้การควบคุมทีแม่นยำ ซึ่งโหมดขับขี่แต่ละโหมดนั้นปรับแต่งมาอย่างดี
ในโหมดของ Eco กับ Normal น้ำหนักของพวงมาลัยไม่ค่อยแตกต่าง จะต่างก็ในส่วนของการตอบสนองของแป้นคันเร่ง สำหรับ Eco จะดีเลย์เล็กน้อย
ส่วนของ Sport และ Sport+ ทั้งนน.พวงมาลัย และแป้นคันเร่ง ตอบสนองต่อการใช้งานได้รวดเร็วและเฉียบคม แต่ที่ขอชื่นชมจะเป็นเรื่องของระบบช่วงล่างในรูปแบบ Sport Suspension พอได้ขับในสนามแข่ง การยึดเกาะเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงทำได้ดีมาก ขับสนุก และมั่นใจได้
อีกหนึ่งเรื่องต้องขอยกคำชมไปในด้านของเทคโนโลยีการประกอบ การเก็บเสียงในห้องโดยสารเงียบ แม้ในย่านความเร็วสูง ก็ไม่ถึงกับต้องตะเบงเสียงคุยกัน
บทสรุปของการสัมผัส Mercedes Benz The New C220d AMG Dynamic ในสนามแข่ง ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งรถบ้านที่มีสมรรถนะไม่ธรรมดา แม้ระบบ Mild Hybrid จะไม่ได้เข้ามามีส่วนช่วยมากนักในกรณ๊การขับขี่ด้วยความเร็วสูง แต่ขุมพลังที่มีอยู่ในเบบี๋เบนซ์ต้องบอกว่าเหลือๆ ถ้าถามว่ามีอะไรให้ติคงเป็นเรื่องของระบบความปลอดภัยของยุคสมัย อย่าง Adaptive Cruise Control และระบบเตือนพร้อมดึงกลับเมื่อรถออกนอกช่องทาง ถ้ามีมาด้วยล่ะก็…เพอร์เฟค