ถือเป็นครั้งแรกในการสัมผัสกับ Toyota Hilux Revo Rocco 2020 รุ่นท๊อป 2.8 4WD ทั้งทางเรียบและทางลุยเกิน 100 กม. กับสมรรถนะเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.8 ลิตร ที่มีแรงม้าให้ถึง 204 แรงม้าพร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร รวมถึงการปรับปรุงสมรรถนะช่วงล่าง จากเดิมในรูปแบบแหนบ 5 แผ่นเปลี่ยนให้เหลือเพียง 3 แผ่น ตามไปดูกันครับ ว่าผลทดสอบในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
การทดสอบในครั้งนี้นอกจากการทดลองทางเรียบ ยังได้นำไปลุยหนักเพื่อลองสมรรถนะในรูปแบบออฟโรด โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เขาไผ่ จ.ชลบุรี และที่นี่เองก็ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่และยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มาลองดูสถานที่เที่ยวชมธรรมชาติ ในมุมมองพาโนราม่ากันดูครับ แต่ถ้าใครอยากลองตามรอยไปเที่ยวดูก็ได้ แต่เส้นทางค่อนข้างสาหัส เรียกว่าได้งัดวิชาการขับขี่ และตัวช่วยลุยต่างๆอย่างครบถ้วน
เริ่มต้นการเดินทางที่ Toyota Driving Experience Park ย่านบางนา ระยะทางกว่า 100 กม. ที่ได้สัมผัสกับรถคันนี้ ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะได้รับการปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบไมเนอร์เชนจ์ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในฝากระโปรงนั่นคือขุมพลังที่ได้รับการพัฒนาใหม่โดยใช้ขนาดความจุเดิมคือ 2.8 ลิตร
ขุมพลังนี้ได้พัฒนาระบบฉีดเชื้อเพลิงรวมถึงระบบอัดกาอาศใหม่จนได้แรงม้าถึง 204 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตมัติ 6 จังหวะ ทำให้การเรียกใช้ความเร็วแต่ละครั้งนั้นตอบสนองได้ทันใจ ขับสนุกขึ้นมากเพราะมีการปรับแต่งการทำงานของเกียร์ให้ตัดรอบได้กว้างขึ้น นั่นคือการลากเกียร์ได้ยาวขึ้นนั่นเอง
นอกจากขุมพลังยังมีการปรับช่วงล่างด้านหลังใหม่ จากเดิมที่เป็นแหนบแผ่น 5 ชั้น ลดลงให้เหลือเพียง 3 ชั้น โดยทางวิศวกรของโตโยต้าเล้งเห็นถึงการใช้งานรถกระบะที่เป็นพาหนะหลักในการชีวิตประจำวันมากกว่าการนำไปบรรทุกสัมภาระ จึงเป็นเหตุให้แหนบถูกลดจำนวนลง
แหนบ 3 แผ่นที่ปรับปรุงในครั้งนี้มาจากเหล็กกล้าที่แข็งแรงและทนทาน ฟิลลิ่งการขับขี่นั้นเปลี่ยนไปจนสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลอย่างชัดเจน ในย่านความเร็วต่ำควบคุมได้ง่าย และสนุกได้กับการขับขี่ ส่วนความเร็วสูงอาจจะกระเด้งไปสักนิด ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล แต่ฟันธงว่าต่างไปจากรถกระบะทั่วไปแน่นอน ด้านการบรรทุกสัมภาระนั้น คงต้องลองลุ้นกันทีครับ เพราะการทดสอบในครั้งนี้ เราเน้นลุยหนักจริงๆ
พวงมาลัยถือเป็นอีกหนึ่งการปรับปรุงที่ค่อนข้างเด็ด ปรับระดับความสูงต่ำและขึ้น/ลงได้ ความเร็วต่ำนั้นถือว่าค่อนข้าเบา ผู้หญิงใช้งานได้สบาย ส่วนพอย่านความเร็วสูง พวงมาลัยจะมีการปรับหน่วง จนนน.ต่างไปจากเดิม แต่ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมที่แม่นยำ
อีกหนึ่งระบบหากเมื่อยล้าในการขับขี่ สามารถใช้งานระบบ Cruise Control ที่ทำงานร่วมกับ Dymanic Radar Cruise Control ซึ่งทำหน้าที่ล๊อคความเร็วอัตมัติ รวมถึงชะลอรถเพื่อความปลอดภัยในกรณีที่รถด้านหน้าช้ากว่า และสามารถตั้งระยะห่างจากรถคันหน้า ซึ่งสามารถควบคุมระยะห่างโดยใช้ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น ซึ่งแสดงภาพจำลองระยะห่างในจอ TFT ขนาด 7 นิ้วบริเวณมาตรวัด
และตัวสนับสนุนด้านความปลอดภัยซึ่งอาจเกิดปัญหาต่อเนื่องมาจากความเหนื่อยล้านั่นคือ Lane Departure และ Lane Tracking Assist ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งานจากเส้นถนนทั้งฝั่งซ้ายและขวา หากตรวจจับได้ว่ารถเริ่มมีอาการเซออกนอกช่องทาง จะส่งเสียงเตือนมายังห้องโดยสารรวมถึงหักพวงมาลัยกลับมากลางช่องทางได้อย่างปลอดภัย
การเชื่อมต่อกับสมทาร์ทโฟนนั้นก็ง่ายดาย รวมถึงหากอยากให้แอพลิเคชั่นทั้งในระบบ Apple Carplay และ Android Auto นั้นสามารถทำได้ไม่ยุ่งยาก แต่ต้องใช้สายชาร์จที่เป็นของแท้ของแบรนด์สมาร์ทโฟนนั้นๆมาเชื่อมต่อ
1 แอพพลิเคชั่นที่ถือเป็นผลพลอยได้จากการเชื่อมต่อนั่นคือแผนที่การเดินทางหรือ Google Map ซึ่งฟีเจอร์เด่นที่ Toyota Hilux Revo Rocco 2020 นั้นขาดหาย นั่นคือเนวิเกเตอร์ แต่ก็ได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนมาทดแทน
ทางเรียบสามารถสรุปการทดสอบคร่าวๆได้ประมาณนี้ แต่ทางลุยนี่ถือมามีความน่าสนใจไม่ใช่น้อย
การเดินทางแบบออฟโรดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยผมไม่แนะนำให้ไปเพียงคันเดียวเป็นอันขาด เพราะหากประสบเหตุรถติดกับอุปสรรคหลายๆรูปแบบ อาจจะต้องกินข้าวลิงอยู่ในป่าจนกว่าจะมีใครมาพบหรือติดต่อกับคนภายนอกได้
ทริพลุยแบบนี้จึงต้องหาพันธมิตรมาเข้าร่วมการเดินทาง โดยครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากพี่จิม ภูวเดช บุญสอาด และ น้าโอปอ คฑาวุธ สีที กลุ่มออฟโรดซูซูกิ ศรีราชา พี่สร ประภัคศร สุวรรณรัตน์ อดีตนักแข่งออฟโร๊ดจอมเก๋า รวมถึงพี่สุไอนี เจริญสุข กลุ่มอนุรักษ์เขาไผ่ในฐานะเจ้าของพื้นที่
สภาพพื้นที่ของเส้นทางบนเขาไผ่นั้นจะเรียกว่าเป็นถนนก็ไม่สนิทปากเพราะเดิมทีคือแนวกันไฟป่า ความกว้างของเส้นทางนั้นเรียกว่าพอดีคัน ทั้งยังเป็นร่องแยกของหน้าดินที่ค่อนข้างลึก การขึ้นไปยังจุดชมวิวมีให้เลือกทั้งหมด 3 เส้นทาง ขึ้นอยู่กับระดับความยากง่าย ซึ่งครั้งนี้ ทางกลุ่มพันธมิตรที่จะเป็นผู้นำทางแนะนำให้ไปลองเส้นทางที่ 2 ที่มีสภาพเส้นทางที่หลากหลาย
ระบบขับเคลื่อนเดิมที่อยู่ในตำแหน่ง 2H จากนี้เป็นต้นไปจะอยู่ที่ 4h และ 4L แล้วแต่สถานการณ์ที่จะพบเจอ ตัวช่วยในทางลุยที่ต้องให้ความสำคัญอันดับตันๆได้แก่ Hill Start Assist หรือระบบช่วยออกตัวบนทางชัน Downhill Assist Control ระบบช่วยลงทางชัน และ Auto Limited Slip deferential คอยทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายกำลังของเครื่องยนต์ไปยังล้อต่างๆได้อย่างเหมาะสม
ขุมพลัง 204 แรงม้าจากเครื่องยนต์จะถูกลดความสำคัญลงไปทันที เพราะไม่มีเส้นทางให้ใช้ความเร็ว แรงบิด 500 นิวตันเมตร จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยฟันฟ่าอุปสรรคต่างๆโดยเฉพาะ
อีกตัวช่วยคือชิ้นส่วนที่สัมผัสกับพื้นผิวเป็นอันดับแรก ได้แก่ ยาง ที่ติดรถมานั้นเป็นของ Dunlop Grandtrek AT ขนาด 285/60 18 ถ้าจะให้เหมาะกับพื้นที่ลุยควรจะเป็นดอกยางแบบ Mudterrain ซึ่งยางนั้นมีบั้งลึก คอยช่วยตะกุยสภาพเส้นทางลุยได้ดีกว่า
สภาพเส้นทางบางช่วงทั้งขึ้นเนินชันและเป็นร่องลึกมาก ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้งานระบบขับเคลื่อนแบบ 4l แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้ Auto Differential Lock และต้องถือว่าโชคเข้าข้าง เนื่องจากหากเกิดฝนตก เส้นทางจะสาหัสขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะน้ำที่ขังอยู่บางช่วงนั้น หากดินอุ้มน้ำมากกว่านี้รับรองสนุกแน่นอน
ระยะทางจากทางขึ้นประมาณ 3 กม. สภาพเส้นทางจะเป็นหินทั้งหมด ซึ่งช่วงล่างที่นุ่มนวลนั้นช่วยรับแรงสั่นสะเทือนในสภาพเส้นทางแบบนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
หลังจากนวดช่วงล่างกับทางหินพักใหญ่ ก๊วนของเราก็มาถึงยังจุดชมวิวบริเวณยอดเขา จุดชมวิวบนเขาไผ่เป็นลานโล่งๆและมีการดูแลพื้นที่จากกลุ่มอนุรักษ์เขาไผ่ ที่มีจิตใจเป็นสาธารณ และรวมตัวกันโดยไม่ได้หวังผลประโยชน์เพียงแค่ต้องการให้ป่าไม้นั้นยั่งยืน
ลานโล่งๆแห่งนี้สามารถมองทิวทัศน์แบบพาโนราม่า เห็นทั้ง แสมสาร พัทยา บางละมุง เกาะล้าน ซึ่งเป็นภาพที่หลายคนไม่เคยมองเห็น แต่การเดินทางมายังจุดชมวิวแห่งนี้อาจจะดุโหดไปสักหน่อย แต่ถ้าเลือกทางขึ้นที่ 1 อาจจะไม่ต้องใช้ทักษะการขับขี่และพละกำลังของเครื่องยนต์รวมถึงตัวช่วยการขับขี่สักเท่าไหร่
“จุดชุมวิวยังมีอีกแห่ง ซึ่งถ้าไปทางนั้น ต้องลงทางที่ 3” คำเชื้อเชิญจากพี่สุไอนี กลุ่มอนุรักษ์เขาไผ่ ทำให้ผมต้องตัดสินใจ ด้วยเหตุผลที่ว่า จะให้รถคันนี้ออกจากป่าด้วยความบอบช้ำน้อยที่สุด แต่ก็มาทั้งที ขอลองสักหน่อยว่าจะไหวสักแค่ไหน
เส้นทางที่พบเจอจากนี้ไป ถือว่าสาหัสสุดในเขาไผ่ ซึ่ง 2 ระบบ Auto Limited Slip deferential และ Downhill Assist Control จะเข้ามาเป็นพระเอก เพราะสภาพทางลงที่ลาดชัน ยิ่งถ้าฝาตกหรือเป็นดินรูปแบบหนังหมู อาจทำให้รถเกิดหลุดการควบคุม และลื่นไถลไปตามความลาดเท ซึ่งจะทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย
ห่างจากทางลงจุดชมวิวเพียงเล็กน้อย ทางที่เป็นร่องลึกทำให้ล้อหลังซ้ายและล้อหน้าขวา เกิดอาการแขวน ซึ่งทำให้รถเคลื่อนตัวไม่ได้ Auto Limited Slip deferential ถูกเรียกใช้งานทันที โดยมีคุณสมบัติในการล๊อคเพลาขับที่ถ่ายกำลังไปยังล้อที่ไม่สัมผัสกับพื้นผิว ให้ถ่ายมายังล้อที่ติดพื้นในอัตราส่วน 50/50 กำลังที่หายไปจากเครื่องยนต์จึงถูกนำมาใช้ให้ถูกที่ถูกทาง และสถานการณ์นี้จึงผ่านไปได้แบบไม่หืดจับสักเท่าไหร่
ทางลงเขาไผ่บนเส้นทางที่ 3 นั้นค่อนข้างชันและโหดสำหรับรถแสตนดาร์ดที่ไม่มีการตกแต่งอัพเกรดไว้ใช้งานในทางลุย เนื่องจากเป็นร่องหิน หากลงผิดไลน์ รถต้องมีความบอบช้ำที่จะเกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง บันได หรือแม้กระทั้งสีรถ เพราะเป็นช่องทางที่ค่อนข้างแคบและชัน ระบบ Downhill Assist Control จึงถูกเรียกมาใช้งาน โดยเปิดสวิทช์ควบคุมบริเวณคอนโซลกลาง ซึ่งจะเข้ามาช่วยคุมความเร็วไม่เกิน 7 กม./ชม. โดยใช้กำลังของเครื่องยนต์และเบรก
การลงทางลาดชันแบบนี้จึงควบคุมรถได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้เบรกเพื่อชะลอความเร็ว แต่ที่ขาดไม่ได้คือผู้นำทางประสบการณ์สูงอย่าง พี่สร อดีตนักแข่งรถออฟโร๊ด มีรางวัลการันตีมาแล้วหลายสนาม แต่วันนี้มารับอาสาเป็นผู้บอกไลน์กิตติมศักดิ์ จึงทำให้เราสามารถเดินทางได้ตลอดรอดฝั่ง
การเดินทางทุลักทุเลกว่า 3 ชั่วโมงเพื่อสำรวจเส้นทางบนเขาไผ่รวมถึงการทดสอบสมรรถนะของ Toyota Hilux Revo Rocco 2020 จบลงอย่างไม่มีอะไรบอบช้ำ สภาพเส้นทางถือว่าค่อนข้างหนักสำหรับรถแสตนดาร์ท แต่ด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ติดตั้งมาในรถคันนี้ ช่วยให้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี แต่หากไม่มีพันธมิตรที่เข้ามาช่วยดูแลและบอกทาง การนำรถออกจากพื้นที่จะเกิดความเสียหายเท่าไหร่นั้น คงยากเกินคาดเดา
การที่ได้สัมผัส Toyota Hilux Revo Rocco 2020 ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นรถกระบะที่มีขุมพลังไม่ธรรมดา และระบบช่วงล่างแบบใหม่ที่ต่างไปจากเดิม ทำให้ขับสนุกแถมยังเติมเต็มตัวช่วยขับขี่และความสะดวกสบายอย่างครบถ้วน ส่วนใครที่จะตามรอยการเดินทาง ไม่แนะนำให้ไปคนเดียวเป็นอันขาด และรถคุณต้องพร้อมพอที่จะลุยทางดุๆแบบนี้ ไม่งั้นมีหวังได้กินข้าวลิงในป่าแน่นอนครับ