AMG Driving Academy หลักสุตรการขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูง ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โดยใช้รถตระกูล AMG ครบทั้งพอร์ตโฟลิโอทั้ง 14 รุ่น ขุมพลังรวมกว่า 5,000 แรงม้า ควบคุมโดยผู้ฝึกสอนมืออาชีพดีกรีแชมป์มอเตอร์สปอร์ตระดับโลก แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ร่วมให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
หลายปีที่ผ่านมา บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดกิจกรรมอบรมการขับขี่รถยนต์ให้กับผู้สื่อข่าวและลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำในกลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูง เช่นเดียวกันกับกิจกรรมในปีนี้ แต่ความแตกต่างของกิจกรรมนั้นคนละเรื่องกับหลายครั้งที่ผ่านมา เพราะรถยนต์ที่ใช้ในการขับขี่ของหลักสูตรนี้ล้วนแต่เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงในกลุ่มของ AMG ซึ่งหลักสูตรการเรียนการสอนนั้นได้ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้ผู้ขับขี่นั้นได้เสริมทักษะการขับและควบคุมรถในรูปแบบต่างๆรวมถึงสัมผัสสมรรถนะของขุมพลังจาก AMG
รถยนต์สมรรถนะสูงทั้ง 14 รุ่น ทั้งแบบประกอบในประเทศ และนำเข้า ได้แก่ Mercedes-AMG GT 53 4MATIC+ 4-Door Coupé รถสปอร์ต 4 ประตูตระกูล AMG GT และ Mercedes-AMG E 53 4MATIC+ รถยนต์นั่ง 4 ประตูในสไตล์เอเอ็มจี พร้อมด้วย Mercedes-AMG GT C Roadster, Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+, Mercedes-AMG E 53 4MATIC+ Coupé, Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+, Mercedes-AMG A 45 4MATIC, Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG CLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG GLE 43 4MATIC Coupé, Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé, Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé, Mercedes-AMG C 43 4MATIC, Mercedes-AMG SLC 43 รวมถึง Mercedes-AMG C 63 S Coupé ขอออกตัวไว้ตรงนี้เลยว่าแต่ละคันนั้นไม่ธรรมดา ผมขอหยิบยกรถยนต์เพียงแค่ 2 รุ่นที่ถือเป็นไฮไลท์ของงานนี้ก็ว่าได้ เอาแค่สนนราคาก็ปาไปเกือบ 30 ล้านบาท
คันแรกได้แก่ Mercedes-AMG GT R สมาชิกใหม่ของตระกูล AMG GT และเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยของรถแข่งมาประยุกต์ใช้ ซึ่งถือเป็นการยกระดับการขับขี่ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและความเร้าใจ สปอร์ตคาร์รุ่นนี้เป็นการผสมผสานระหว่างสมรรถนะของรถสปอร์ตกลุ่ม AMG GT 3 กับการใช้งานในชีวิตประจำวันของ AMG GT เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดให้กับผู้เป็นเจ้าของที่ชื่นชอบความเร็ว
หลังคารถผลิตจากวัสดุคาร์บอน เสริมให้ตัวรถมีสีสันตัดกันสวยงาม พร้อมติด ระบบเบรกแบบ AMG high-performance composite brake สีเหลืองที่เป็นสีพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ รวมถึงท่อไอเสียเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์รูปทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ใช้ท่อเก็บเสียงที่ผลิตจากไทเทเนี่ยมและเหล็กกล้าไร้สนิม
ห้องโดยสารของ Mercedes-AMG GT R ได้รับอิทธิพลมาจากกีฬามอเตอร์สปอร์ต โดยเบาะนั่งถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ อีกทั้งยังเป็นเบาะที่นั่งแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ มาพร้อม ชุดเข็มขัดนิรภัยสีเหลือง ชุดแผงหน้าปัดสีเหลือง และชุดแต่งห้องโดยสาร AMG Interior Piano Lacquer
Mercedes-AMG GT R ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ความจุกระบอกสูบ 4 ลิตร ระบบไดเรค อินเจคชั่น ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้าที่ 6,250 รอบ พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 680 นิวตันเมตร ที่ 1,900 – 5,500 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด (seven-speed dual clutch transmission)
Mercedes-AMG GT R มีระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ AMG RIDE CONTROL (เอเอ็มจีไรด์คอนโทรล) ด้วยการใช้โครงสร้างปีกนกสองชั้นเพื่อรักษาสมดุลของล้อ และติดสปริงไว้ด้านบน, ใช้นวัตกรรม AMG Lightweight Performance (เอเอ็มจีไลท์เวทเพอร์ฟอร์มานซ์) ที่เลือกสรรวัสดุน้ำหนักเบามาใช้ในการผลิต ทำให้โครงสร้างของรถมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง แต่แข็งแกร่งและสามารถกระจายแรงได้เป็นอย่างดี, ระบบควบคุมการยึดเกาะเอเอ็มจีแบบ 9 ระดับ หรือ AMG TRACTION CONTROL รถรุ่นนี้สามารถจำลองค่าแรงเสียดทานภายในระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อเตรียมระบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพพื้นถนน โดยมีกลไกชุดหม้อเพลาท้ายรถแบบ LSD เป็นตัวช่วย
อีกหนึ่งรุ่นซึ่งถือเป็นรุ่นล่าสุดที่ออกมาทำตลาดนั่นคือ Mercedes-AMG C 63 S Coupé ซึ่งปรับปรุงให้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้า AMG specific radiator grille แบบด้าน สเกิร์ตข้างดีไซน์ให้เข้ากับล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ขนาด 19 นิ้วน้ำหนักเบาจากเอเอ็มจี โดยช่องลมและองศาก้านล้อได้รับการปรับปรุงอย่างละเอียด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์ดีไซน์ของฝากระโปรงหลังยังมาพร้อมกับปีกแบบ AMG ตกแต่งรอบคันด้วย AMG Bodystyling (กันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้าง) เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam และยังมาพร้อมกับหลังคาแก้วแบบ panoramic sliding sunroof ที่เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ห้องโดยสารภายในมากับชุดเบาะที่นั่ง AMG Performance seats วัสดุหุ้มหนังแท้กับคุณสมบัติการอุ่นเบาะที่ปรับได้ 3 ระดับ แผงหน้าปัดแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว พวงมาลัยรุ่นใหม่แบบ AMG Performance Steering Wheel หุ้มด้วยหนัง Nappa leather ตัดสลับกับ DYNAMICA microfibre ที่มีรูปทรงสปอร์ตมาพร้อมกับปุ่ม AMG steering wheel button สามารถใช้คำสั่งหรือก้านควบคุมต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น หน้าจอมัลติมีเดียขนาด 10.25 นิ้ว ทำงานร่วมกับ COMAND Online พร้อม Touchpad และ Controller ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester®
Mercedes-AMG C 63 S Coupé ได้พละกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4 ลิตร พร้อม Bi-turbo ให้กำลังสูงสุด 510 ที่ 5,500-6,250 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 700 นิวตันเมตรที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ด้วยเทคนิคการติดตั้ง turbo แบบ Hot inside V เพื่อให้การระบายความร้อน และการกระจายน้ำหนักของเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น ระบบเกียร์แบบสปอร์ต AMG SPEEDSHIFT MCT 9-SPEED Sports Transmission ให้การตอบสนองของรถในระหว่างที่มีการเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วและราบรื่น พร้อมระบบ AMG DYNAMIC SELECT 5 โหมด คือ Comfort, Sport, Sport+, Race และ Slippery เพื่อช่วยกระจายกำลังให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด โต้โผใหญ่ของการจัดงานกล่าวว่า “กิจกรรม AMG Driving Academy คือการทดสอบการขับขี่ที่จะทำให้ผู้เข้าร่วมทุกท่านได้ปลดล็อคขีดจำกัดของตัวเอง พร้อมสัมผัสประสบการณ์อันทรงพลังจากการขับขี่ยนตกรรมสมรรถนะสูง ด้วยการเสริมทักษะการขับขี่ โดยทีมผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีมาร่วมสอนเทคนิค และให้คำแนะนำต่างๆ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกทักษะทุกฐานแล้ว ผู้ขับขี่จะมีความเข้าใจ สามารถใช้ประโยชน์จากสมรรถนะ และเทคโนโลยีอันทันสมัยที่มาพร้อมกับตัวรถได้อย่างเต็มที่ โดยผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านที่ผ่านการฝึกอบรมฯ จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองจาก ทางบริษัทฯ อีกด้วย”
สำหรับกิจกรรม AMG Driving Academy เป็นการฝึกอบรมขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูงครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเรียนรู้เทคนิคการขับขี่แบบเต็มสมรรถนะ โดยทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพจากเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ดีกรีแชมป์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการระดับโลก และมร. เบิร์น ชไนเดอร์ (คนกลาง) แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี นักแข่งรถสัญชาติเยอรมัน เจ้าของตำแหน่งแชมป์ DTM ห้าสมัย และแชมป์สองสมัยจากสนามนูร์เบอร์กริงสุดโหด ร่วมให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
รูปแบบของการขับขี่ในกิจกรรม AMG Driving Academy มีทั้งหมด 6 สถานี โดยในแต่ละสถานียังไม่ทิ้งของเดิมไปมากนัก เพียงแต่ความเร็วซึ่งถือเป็นข้อบังคับนั้นเปลี่ยนไป หากใครทำผลงานเข้าตาทีมผู้ฝึกสอน จะไดรับสิทธิพิเศษเพื่อนั่งในรถ Mercedes-AMG C 63 S Coupé โดยมี มร. เบิร์น ชไนเดอร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี นักแข่งรถสัญชาติเยอรมัน เจ้าของตำแหน่งแชมป์ DTM ห้าสมัยเป็นผู้ขับขี่แบบ Fast Track
Car Control
เริ่มกันที่การทดสอบแรกกับความสามารถในการควบคุมรถของผู้ขับขี่ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงและรถเสียการควบคุม ซึ่งรถที่ใช้ในสถานีนี้คือ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé และ Mercedes-AMG C 43 4MATIC ที่มีการหุ้มล้อหลังด้วยปลอกพลาสติกเพื่อลดการยึดเกาะถนนจำลองเหตุการณ์ถนนลื่น
ผู้ขับขี่จะได้ลองฝึกทักษะการควบคุมรถในโหมดระบบความปลอดภัย ESP® ที่แตกต่างกัน ทั้งเปิด ปิด และในโหมด Sport พร้อมกับแก้อาการของรถที่เสียการควบคุมไปในขณะเดียวกัน
Drag Race
ต่อด้วย Drag Race เป็นสถานีที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงสมรรถนะความแรงของรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีได้อย่างเต็มที่ ด้วยการจำลองการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต พร้อมฝึกทักษะการตอบสนองของผู้ทดสอบ
รถยนต์สมรรถนะสูงในสถานีนี้มีมากกว่า 5 รุ่น และที่โดดเด่นสุดตกเป็นของ Mercedes-AMG GT C Roadster กับพละกำลังของเครื่องยนต์ V8 สูบ ให้กำลังถึง 557 แรงม้า แต่ใช่ว่าสถานีนี้จะเค้นสมรรถนะของเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว
การขับขี่จะเป็นไปในรูปแบบของ Battle รถทั้งสองคันจะถูกปล่อยตัวพร้อมกันเมื่อสัญญาณไฟแดงดับลง และผู้ทดสอบจะต้องเบรกเมื่อถึงจุดที่กำหนดไว้ ผู้ที่สามารถหยุดรถให้อยู่ในจุดที่กำหนดได้จะถือว่าชนะการแข่งขัน
Brake & Lane Change
สถานีนี้เป็นการทดสอบการควบคุมเบรกฉุกเฉิน และทดสอบความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของตัวผู้ขับขี่ โดยผู้ขับขี่จะได้ทดสอบระบบความปลอดภัย ESP® และไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน (Adaptive brake light)
วิธีการคือขับรถออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วประมาณ 100-110 และ 120 กม./ชม. และเมื่อเห็นสัญญาณไฟกระพริบจากทางซ้ายหรือขวา ผู้เข้าร่วมทดสอบต้องเหยียบเบรกและหักเลี้ยวตามทิศทางของสัญญาณไฟ
Auto-X Practice & Competition
สำหรับสถานีนี้คือการจำลองการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตในรูปแบบการแข่งขันจิมคาน่า โดยที่ผู้ทดสอบจะได้ใช้ทักษะการควบคุมรถ พร้อมเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจให้ผู้ทดสอบทุกคนด้วยการจับเวลาการแข่งขัน ผู้ที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
รถที่ใช้สำหรับสถานีนี้ถือว่ามีความดุดันไม่ใช่น้อยกับ Mercedes-AMG A 45 4MATIC, Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG CLA 45 4MATIC โดยผู้ขับขี่จะใช้รถรุ่นเดียวในการจับเวลานั่นคือ Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC ซึ่งมาพร้อมขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาด 1,991 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 381 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 475 นิวตัน-เมตร ที่ 2,250-5,000 รอบต่อนาที ซึ่งถือเป้นเล้กพริกขี้หนูประจำกิจกรรมนี้ก็ว่าได้
การควบคุมรถไซส์เล็กแต่สมรรถนะเผ็ดร้อน หากเร่งรีบมากเกินไปจนความเร็วของรถกับยางไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพการยึดเกาะออกมาได้หรือเรียกอีกอย่างว่า Over Speed ซึ่งถ้าเกิดในรุปแบบการขับขี่ในสถานีสั้นๆแบบนี้ เวลาที่ออกมาจะช้ากว่าย่านความเร็วที่สอดคล้องไปกับประสิทธิภาพของเนื้อยางรวมถึงการบังคับเลี้ยวที่ต้องมีความแม่นยำ เพราะหากเลี้ยวเกิน หรือหักพวงมาลัยผิดองศา การควบคุมรถก็จะไม่อยู่ในทิศทางที่ต้องการให้ไปและผลสุดท้ายเวลาที่ได้ก็จะไม่ดีตาม แต่ในสถานีนี้โชคเข้าข้างแบบฟลุคๆ เวลาที่ทำได้ถือว่าดีสุดในกลุ่ม ทำให้รับสิทธินั่งในรถ Mercedes-AMG C 63 S Coupé โดยมี มร. เบิร์น ชไนเดอร์ เป็นผู้ขับขี่ในรูปแบบ Fast Track
Cornering Exercise
หลังจากที่ผ่านการขับขี่ในรูปแบบต่างๆมาถึง 4 สถานี Cornering Exercise ก็ถือเป็นการวอร์มอัพกับการใช้ความเร็วตามสมรรถนะของรถและรูปแบบของการสังเกตรวมถึงวิธีควบคุมพวงมาลัยลัดเลาะไปตามทางโค้งของสนามช้างอย่างแม่นยำและได้ความเร็วตามที่ต้องการตามองสาของการหักพวงมาลัย
Cornering Exercise ถือเป็นการทดสอบการเข้าโค้ง โดยจะใช้พื้นที่โค้งในสนามที่มีความกว้างแตกต่างกันไป ทำให้ผู้ทดสอบสามารถฝึกทักษะที่จำเป็นในการขับขี่ ได้แก่ การเบรก การบังคับทิศทางรถ และการมองเห็นได้อย่างเต็มที่ โดยผู้ฝึกสอนจะเป็นผู้นำขบวน ทำให้ผู้ทดสอบได้ฝึกการขับขี่ในเส้นทางการแข่งรถจริงๆพร้อมทั้งยังได้เรียนรู้เทคนิคการขับขี่ของนักแข่งรถอีกด้วย
Lead & Follow
สถานีสุดท้ายของหลักสูตร AMG Driving Academy มีชื่อว่า Lead & Follow โดยใช้วิธีการขับขี่ตามหลังผู้ฝึกสอนที่จะขับขี่ไปตามไลน์ที่ใช้ในการแข่งขันจริงรวมถึงได้สัมผัสกับรถไฮไลท์ของกิจกรรมนี้อย่าง Mercedes-AMG GT R ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนผู้ขับขี่ครั้งละ 2 รอบสนาม
การขับขี่ในสถานีนี้กับรถที่มีความแรงระดับทะลุ 580 แรงม้านั้นเป็นอะไรที่ถูกใจสุดๆ ช่วงทางตรงสุดของสนามช้างสามารถทำความเร็วได้ทะลุ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถคันนี้เป็นรถสปอร์ตที่สามารถเป็นรถที่ใช้ในการแข่งขันได้เลยโดยที่ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากมายนัก ฟิลลิ่งของรถที่ว่าดิบ โหด ก็ยังให้การควบคุมที่ค่อนข้างง่าย โดยมีระบบ AMG TRACTION CONTROL ที่สามารถปรับการใช้งานได้ถึง 9 ระดับ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่นั้นๆ
ผ่านพ้นไปกับ 6 สถานีที่รวมเป็นหลักสูตร AMG Driving Academy ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ทำให้การขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูงนั้นเต็มไปด้วยความเร้าใจและปลอดภัย เพิ่มทักษะการควบคุมรถของผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เป็นอย่างดี แต่ความมันยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะยังเหลือการใช้สิทธิพิเศษที่จะเป็นผู้โดยสารโดยมีมร. เบิร์น ชไนเดอร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เป็นผู้ขับขี่ในรูปแบบ Fast Track เต็มๆสมรรถนะของรถ Mercedes-AMG C 63 S Coupé ที่มีพละกำลังมากกว่า 500 แรงม้า พร้อมการขับขี่แบบไม่มีกั๊กของแบรนด์แอมบาสเดอร์ท่านนี้
1 รอบสนามช้างฯ กับการโชว์ฝีมือการขับขี่ของ มร. เบิร์น ชไนเดอร์ ไม่น่าสงสัยเลยว่า เจ้าของตำแหน่งแชมป์ในรายการ DTM 5 สมัย ซึ่งยังมีดีกรีเป็นผู้ออกแบบรถในตระกูล AMG หลากหลายรุ่นนั้นจะมีฝีมือระดับพระกาฬขนาดนี้ ทางตรงยาวความเร็วที่ทำได้คือ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมบางโค้งยังมีการดริฟรถโดยไม่สนใจไลน์สนาม Traction Control หรือตัวช่วยที่ไม่ให้รถเสียการควบคุม นักขับผู้นี้ปิดหมด ความดุดันของขุมพลังกว่า 500 แรงม้าใน Mercedes-AMG C 63 S Coupé แกก็สยบให้เชื่องราวกับคุ้นมือกันมานาน การเบรกแต่ละครั้งไม่เคยเอาเท้าขวามาช่วย น้ำหนักเท้าซ้ายแม่นยำทุกโค้ง แถมการแก้อาการรถช่วงที่ท้ายสะบัดนี้ทำได้อย่างมั่นใจ ซึ่งทั้งหมดถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น้อยคนจะได้สัมผัสแม้ว่าจะเป็นระยะทางเพียง 4 กิโลเมตรเศษ เต็ม 1 รอบสนามช้างฯเท่านั้น
บทสรุปของหลักสูตร AMG Driving Academy ในครั้งนี้นอกจากการสัมผัสความแรงของรถยนต์ที่จัดเต็มครบพอร์ตโฟลิโอทั้ง 14 รุ่น กับความแรงที่รวมไว้กว่า 5,000 แรงม้า ประสบการณ์การขับรถแรงระดับทะลุ 500 แรงม้าทั้ง Mercedes-AMG GT R และ Mercedes-AMG C 63 S Coupé ก็ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายมที่ใครจะได้สัมผัส รูปแบบการขับขี่ในแต่ละสถานีถุกปรับปรุงให้ผู้ขับนั้นเสริมทักษะการควบคุมรถได้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย แต่การนั่งในรถที่มีความแรงกว่า 500 แรงม้าโดยนักขับดีกรีแชมป์รายการ DTM 5 สมัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะได้สัมผัส สุดท้ายผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็ฟันฝ่าสถานีทดสอบต่างๆและคว้าประกาศนียบัตรเป็นตัวการันตีฝีมือของนักขับไปครองกันได้ทุกคน