พัฒนาการเพื่อให้เป็นรถที่สามารถวิ่งไปได้ในทุกที่
หลังจากที่ปล่อยให้รอคอยกันมานาน ในที่สุด All New Fortuner ก็ได้เผยโฉมพร้อมให้จับจองกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในความใหม่ของเจ้ารถคันนี้ มีหลายสิ่งที่น่าสนใจและบ่งบอกให้รู้ถึงความตั้งใจที่จะให้เป็นรถอเนกประสงค์ที่พร้อมตอบสนองต่อการเดินทางไปไหนมาไหนได้ในทุกที่่ แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดที่แต่ละคันต่างก็มีจุดดีจุดเด่นที่คล้ายๆ กันและต่างกันไปตามแนวทางของรถแต่ละคัน และแน่นอนว่า สำหรับ Toyota All New Fortuner มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเก่า เรามาดูกันครับว่า มีอะไรที่น่าสนใจสำหรับรถคันนี้กันบ้าง
ว่ากันถึงเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ต้องบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่หน้าจรดท้าย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระจังหน้าที่ออกแบบให้รับกับกันชนหน้าได้อย่างลงตัวดูโฉบเฉี่ยว และดุดันขึ้น Bumperหนาขึ้น ในส่วนของไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Beam LED โปรเจคเตอร์ กระจกมองข้างมาพร้อมไฟเลี้ยวและระบบ Welcome Light ไฟตัดหมอกมีมาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังรวมไปถึงไฟท้าย LED แบบ Light Guiding สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED และเสารับสัญญาณวิทยุแบบ Shark Fin
สำหรับภายในนั้น มีการออกแบบให้ดูหรูหราขึ้น ทั้งในส่วนของวัสดุที่นำมาใช้ รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายขึ้น เบาะนั่งเป็นแบบหนังสีน้ำตาลช่วยทำให้ดูภูมิฐาน ในส่วนของเบาะนั่งด้านผู้ขับขี่ปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีระบบ Push Start รวมไปถึงระบบ Start/Stop ที่จะตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดนิ่งสนิท และจะติดเครื่องยนต์เมื่อมีการเหยียบคันเร่งเพื่อเดินหน้า โดยเมื่อเครื่องยนต์หยุดการทำงานเครื่องปรับอากาศจะยังคงส่งลมเย็นอย่างต่อเนื่อง มาตรวัดเป็นแบบเรืองแสง Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID โดยที่หน้าจอเป็นแบบ TFT พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและข้อมูลการขับขี่ ช่องให้ความเย็นสำหรับแช่เครื่องดื่มบริเวณคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบนำทาง พร้อมเครื่องเล่น DVD หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ T-Connect และการเชื่อมต่อแบบบลูทูธ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระหน้า/หลัง รวมไปถึงช่องเสียบอุปกรณ์ USB/iPOD และ AUX รวมถึงช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า DC 12 Volte และกระแสไฟฟ้า AC 220 Volte
ความสะดวกสบายในส่วนของการใช้งานอรรถประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเบาะนั่งที่พับและปรับได้อย่างอิสระตามรูปแบบการใช้งาน ทั้งแบบ L-Space แบบ Tuble & Space-Up และแบบ Rear Space ในขณะที่ประตูท้ายสามารถเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้าที่มาพร้อมกับระบบป้องกันการหนีบ ที่สามารถสั่งงานได้จากรีโมท/สวิตช์ภายในบริเวณที่นั่งคนขับ และบริเวณประตูท้าย นอกจากนั้นยังมีระบบควบคุมไฟหน้า เปิด/ปิด อัตโนมัติ พร้อมระบบไฟส่องสว่างขณะถึงที่หมาย Follow Me Home กล้องมองหลังช่วยในการถอยจอด ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift และระบบควบคุมความเร็วคงที่
บนเส้นทางสายเซาท์เทิร์นซีบอร์ดกับทางตรงๆ ยาวๆ ที่สามารถลองหาอัตราเร่งและสมรรถนะของ All New Fortuner ได้อย่างเต็มที่ สำหรับตัวที่ได้ลองนั้นเป็นรุ่น 2.8 V 4WD AT รุ่นท้อปนั่นเอง และด้วยโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกทั้งแบบ โหมด eco และโหมด power ให้เลือก จึงสามารถที่จะลองกันได้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่าในโหมด eco นั้นการออกตัวหรือการเร่งแซงอาจจะดูอืดๆ ไปนิดในช่วงของการออกตัว แต่เมื่อความเร็วเริ่มไปแตะที่ 120 กม./ชม. ขึ้นไปความเร็วจะไหลลื่นขึ้นไปตามน้ำหนักของเท้าที่เหยียบลงไปบนคันเร่ง และเจ้ารถคันนี้สามารถที่จะทำความเร็วได้มากกว่า 190 กม./ชม. กับเครื่องยนต์ในตระกูล 1GD-FTV 4 สูบแถวเรียง 16วาล์ว DOHC VN Turbo Intercooler ที่มีกำลังสูงสุด 177 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่ 450 นิวตัน-เมตร ในรอบกว้าง Flat Torque ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และ Paddle Shift ที่หลังพวงมาลัยสำหรับปรับขึ้น/ลง ตำแหน่งเกียร์ตามต้องการ
แชสซีส์ที่ใหญ่ขึ้น และระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง รวมถึงระบบกันสะเทือนหลังแบบโฟร์ลิงค์คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในทางตรง การยึดเกาะถนนทำได้ดี รวมถึงในทางโค้ง ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นสมรรถนะที่สามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ดีนั้น มีองค์ประกอบในเรื่องของระบบป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ Active Safety คอยทำหน้าที่อยู่ด้วย โดยเฉพาะระบบ VSC (Vehicle Stability Control) ที่ทำหน้าที่คอยตรวจวัดระดับการทรงตัวของรถ และควบคุมรถให้ทรงตัวอย่างมั่นคง แม้ในทางโค้งหรือถนนที่เปียกลื่น ซึ่งหากพบจะสั่งการให้เครื่องยนต์ลดความเร็วอัตโนมัติ และเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกไปยังล้อเพื่อประคองการทรงตัวที่ลื่นไถลให้กลับสู่การทรงตัวที่สมดุล
ในทางออฟโรดก็เช่นกัน All New Fortuner ได้ใส่ระบบช่วยการขับขี่มาให้เพื่อช่วยให้สามารถเดินทางไปได้ในทุกที่ โดยในครั้งนี้ได้มีการทำสนามออฟโรดจำลองเพื่อให้ได้เห็นการทำงานของระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบซิกม่า โฟร์ โดยที่เมื่อต้องการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากสองล้อเป็นสี่ล้อสามารถที่จะหมุนสวิตช์เปลี่ยนระบบได้เลย shift on the fly ในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. และเมื่อต้องการปรับจาก 4H เป็น 4L ต้องหยุดรถและเลื่อนตำแหน่งเกียร์ไปที่ N แล้วเลื่อนสวิตช์
สนามออฟโรดจำลองได้สร้างเส้นทางให้ใกล้เคียงกับเส้นทางออฟโรดหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นทางลาดชัน ทางเลน ทางเอียง เนินสลับซ้าย/ขวา และลูกระนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบ A-TRC (Active Traction Control) ซึ่งระบบนี้จะทำหน้าที่ตรวจจับเมื่อพบว่ามีล้อใดเริ่มสูญเสียแรงขับเคลื่อน ระบบจะเพิ่มแรงเบรกในล้อที่ลื่นไถลและกระจายแรงขับเคลื่อนไปยังล้อที่มี Traction ที่ดีกว่าเพื่อการควบคุมฝ่าอุปสรรคไปได้ รวมถึงระบบ DAC (Down Hill Assist Control) ที่จะมีในรุ่นที่เป็นเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น โดยที่ระบบนี้จะช่วยให้สามารถลุยไปในเส้นทางที่ลาดชัน โดยระบบจะควบคุมแรงดันเบรกอัตโนมัติทั้ง 4 ล้อ ทำให้ควบคุมรถในความเร็วต่ำ โดยไม่ต้องแตะเบรก
ในส่วนของระบบ Active Safety นั้นยังมีระบบ HAC (Hill-start Assist Control) ซึ่งระบบนี้จะเพิ่มแรงดันเบรกไปยังล้อทั้งสี่อัตโนมัติ ป้องกันรถไหลในจังหวะออกตัวบนทางลาดชัน ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC (Trailer Sway Control) โดยที่เซ็นเซอร์จะปรับแรงดันเบรก และกำลังของเครื่องยนต์ให้เหมาะสม เมื่อวิ่งบนทางขรุขระ หรือใช้งานลากจูง ระบบ TRC ระบบ VSC เบรก ABS , BA , EBD
สำหรับราคาในรุ่นนี้ อยู่ที่ 1,599,000 บาท ซึ่งน่าจะยืนราคานี้จนถึงปลายปี และถ้าต้องการสี White Pearl ต้องจ่ายเพิ่มอีก 12,000 บาท