น.ส. พิมพา ชลาลัย ประธานบริหาร บริษัท วี เค เอส กรุ๊ป (เอเซีย) จำกัด หรือ V-KOOL Group Thailand ได้เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ที่ประเทศไทย เป็นครั้งแรกในโลก “วี-คูล รอยัล ไพเวทซี่” หรือ วีเค10 (VK10) ภายใต้แนวคิด “The New Elegance of Privacy” ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีคุณสมบัติโดดเด่นถึง 3 ประการ ได้แก่ สามารถให้ค่ากันความร้อนโดยรวม (TSER) มากถึง 74% และ สามารถป้องกันรังสีความร้อน (IRR) ได้มากถึง 98% ป้องกันรังสียูวี 99.99% แสงสว่างส่องผ่าน (VLT) 13% เรียกว่ามีความดำเข้มเท่าที่ วี-คูล เคยมีมาซึ่งจะตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการฟิล์มที่มีความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก แต่ให้การมองเห็นจากภายในชัดเจน เพื่อทัศนวิสัยการขับขี่ที่ดีเยี่ยม
“อนึ่งวี-คูลมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการรักษาและเป็นผู้นำตลาดฟิล์มกันความร้อนขั้นสูงโดยโรงงานผู้ผลิตได้ทุ่มงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการกันความร้อนที่ดีที่สุดในวงการฟิล์มกันร้อนทั่วโลกซึ่งการทุ่มเทพัฒนาและวิจัยเป็นเวลาหลายปี ภายในศูนย์พัฒนาและวิจัยในประเทศ สหรัฐอเมริกา (USA) และประเทศเยอรมันนี (Germany) ด้วยเทคโนโลยี XIR และวัตถุดิบคุณภาพสูง เงิน และ ทองคำ ซึ่งทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ชั้นยอดเยี่ยม คือ “วี-คู รอยัลไพเวทซี่ แพ็คเก็จ” หรือ VK10 ซึ่งจะมาเติมเต็มตลาดอย่างแน่นอน โดยราคาของแพ็คเก็จนี้เริ่มต้นที่ราคา 35,000 บาท”
พร้อมกันนี้ ได้ลงนามแต่งตั้งผู้แทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์โดยเป็นศูนย์ วี-คูล ในรูปแบบ วี-คูล ฟูลเฟล็ต ทั้งหมด 13 สาขา อยู่ในเขตกรุงเทพ 7 สาขา จังหวัดเชียงใหม่ 1 สาขา จังหวัดสงขลา 1 สาขา และบริหารโดยสำนักงานใหญ่ 4 สาขา นอกจากนี้ยังมีดีลเลอร์ที่เป็นร้านประดับยนต์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศอีก 46 สาขา อยู่ในภาคอีสาน 17 ราย ภาคเหนือ 8 ราย ภาคใต้ 14 ราย และภาคตะวันออก 7 ราย ซึ่งมีความพร้อมในการให้บริการอย่างเต็มที่
ส่วนแผนการขยายเครือข่ายปี 2563 ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่ม “ศูนย์วี-คูล ฟูลเฟล็ต” อีก 3 แห่ง เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทางด้านสาขาในต่างจังหวัดหากมีพันธมิตรที่มีแนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่เหมือนกัน ก็พร้อมเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ได้กล่าวถึงตลาดรวมฟิลม์กรองแสงรถยนต์โดยปีนี้ วี-คูล คาดกว่าตลาดรวมฟิล์มกรองแสงในประเทศไทยจะมีมูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยวี-คูลมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 12% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับตลาดรถยนต์ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1-1.02 ล้านคัน ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ