กระแสแรงกับรถ Mini Truck ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากก้าวข้ามกฎหมายเรื่องเวลาการใช้ถนนสำหรับการขนถ่ายสินค้า รวมถึงนำไปดัดแปลงต่อยอดเพื่อดำเนินธุรกิจส่วนตัวของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบ FOOD TRUCK ล่าสุด บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ค่ายรถแดนภารตะ จึงได้นำโปรดักส์ใหม่ ลงสังเวียนสู้ศึก หวังโกยยอดจำหน่ายในเซกเมนต์นี้ พร้อมชูจุดเด่นว่าเป็นเพียงค่ายรถแบรนด์เดียวที่ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ คอมมอนเรล โดดเด่นในด้านความ แกร่ง ถึก ทน แต่ทั้งหมดจะเป็นจริงอย่างที่ว่าหรือไม่www.autoworldthailand.com มีคำตอบครับ
ทาทา ซูเปอร์เอซ มินท์ มากับมิติตัวรถที่โดดเด่นตามขนาด 4340 x 1565 x 1858 มิลลิเมตร ในรุปแบบของรถบรรทุกเพื่อการพาญิชย์แบบหัวเดียว ทั้งยังมีพื้นที่ในการบรรทุกใหญ่สุดในเซกเมนต์ตามขนาด 2630 x 1460 x 300 มิลลิเมตร จุดเด่นนี้ทำขึ้นมาเพื่อบรรทุกสินค้าในพื้นที่ที่ต้องการความคล่องตัวสูง และสะดวกในการขนย้ายจากกระบะที่สามารถเปิดได้ทั้ง 3 ด้าน หรือจะต่อยอดเพื่อดัดแปลงในรูปแบบของ FOOD TRUCK ตามกระแสนิยมก็ทำได้อย่างสะดวกสบาย
ออกแบบภายในด้วยความเรียบง่าย ในสไตล์รถ 2 ที่นั่ง วัสดุที่ใช้ตกแต่งห้องโดยสารดูมีความพิถีพิถันมากขึ้น ด้วยคอนโซลพลาสติกปั๊มขึ้นรูป มีเครื่องเสียงระบบซีดี เอมพี 3 และสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศแบบมือหมุน ติดตั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมแกนพวงมาลัยแบบยุบตัวได้เพื่อความปลอดภัย หัวเกียร์จับถนัดมือ ใกล้กันจะมีที่วางแขนพร้อมช่องเสียบแก้วน้ำ
ทาทา ซูเปอร์เอซ มินท์ มากับขุมพลังใหม่ ในรูปแบบของเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 1.4 ลิตร ไดคอร์ ยูโร 4 จ่ายเชื้อเพลิงผ่านหัวฉีดไดเรคอินเจคชั่น พร้อมระบบอัดอากาศ เทอร์โบชาร์จและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 70 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด140 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำต่อเนื่อง ตั้งแต่ 1,400–2,750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
ในด้านความยึดเกาะถนน ระบบช่วงล่างด้านหน้าใช้แบบอิสระ พร้อมแหนบแผ่นซ้อนรูปวงรีที่ด้านหลัง ดีไซน์สำหรับการบรรทุกสัมภาระโดยเฉพาะ ส่วนระบบเบรก ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน ด้านหลังเป็นดรัมเบรกพร้อมวาล์วปรับแรงดัน
การทดสอบในครั้งนี้ได้จำลองการใช้งานจริงผ่านเส้นทางการจราจรหลากรูปแบบ พื้นที่ของห้องโดยสาร ที่สร้างขึ้นสำหรับการขับขี่แบบ 2 ที่นั่ง ประเด็นนี้ผ่านสบายๆ มีตัวช่วยอย่างพวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ไม่ต้องเหนื่อยและประหยัดแรงการควบคุมรถได้เยอะ คลัชค่อนข้างนิ่ม ทั้งนี้น่าจะมาจากการออกแบบเพื่อใช้งานสะดวกในสภาพการจราจรแออัด ส่งผลให้ผู้ขับขี่คลายความเมื่อยล้าได้ค่อนข้างดี แรงลมจากเครื่องปรับอากาศส่งความเย็นกระจายทั่วห้องโดยสารได้รวดเร็ว จนต้องปรับความแรงมาเหลือเพียงเบอร์ 1 และการไม่มีฝากระโปรงหน้าที่ยืดยาว ส่งผลให้ทัศน์วิสัยการขับขี่กว้างไกล ทำให้การเล็งทิศทางทำได้ง่ายและแม่นยำ
เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลขนาด 1.4 ลิตร แม้จะมีแรงม้าเพียง 70 แรงม้า แต่แรงบิดขนาด 140 นิวตันเมตร ในช่วง1,400–2,750 รอบ/นาที ก็สามารถนำพารถคันนี้ไปได้อย่างสบาย บางช่วงถนนโล่งๆ ลองเหยียบคันเร่งไปที่ความเร็วกว่า 100 กม./ชม. เข็มความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการสังเกตบริเวณแผงหน้าปัด เป็นสิ่งบ่งชี้ว่ารถคันนี้มีกำลังล้นเหลือ อย่างไรก็ตามการทดสอบในครั้งนี้มีเพียงนน.บรรทุกจากผู้ขับขี่และผู้โดยสารเพียง 2 ท่าน หากมีการบรรทุกสัมภาระตามการใช้งานจริง ฟิลลิ่งทั้งหมดอาจเปลี่ยนไป แต่ขณะที่ทดลองขับ หัวข้อนี้สอบผ่านครับ
การยึดเกาะถนน ถ้าวิ่งรถเปล่าอาจจะรู้สึกแข็งและโคลงบ้างเล็กน้อย ตามสไตล์ของระบบช่วงล่างแบบแหนบแผ่น แต่เมื่อใดที่มีน้ำหนักบรรมุกมากดทับ การยึดเกาะจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นตามมาแน่นอน จริงๆแล้ว ถ้าเปลี่ยนขนาดยางจาก 165 R14 มาเป็นหน้ายางที่กว้างกว่า หรือจะยกเซ็ททั้งล้อและยางให้เป็นขอบ 15 นิ้ว สมรรถนะด้านการยึดเกาะจะโดดเด่นขึ้นมาทันที
จุดขายสำคัญคือเรื่องของพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายที่ใหญ่สุดในเซกเมนต์ เพราะฉะนั้นการขนส่งสินค้าหรือดัดแปลงให้เป็น FOOD TRUCK รวมถึงรถบริการเคลื่อนที่ จะมีพื้นที่กว้างขวางกว่าคู่แข่ง และในส่วนของกระบะที่เปิดได้ถึง 3 ด้าน จะได้เปรียบเวลาขนย้ายสิ่งของแน่นอน