กระแสแรงสุดๆของวงการรถยนต์เมืองไทยกับรถยนต์แบรนด์ใหม่กับ Ora Good Cat รถไฟฟ้าทรงน่ารัก ที่มาพร้อมความทันสมัย ประหยัด และออฟชั่นล้นคัน จะมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด การชาร์จไฟ 1 ครั้ง ใช้ระยะทางได้กิ่โลเมตร ความเร็วสูงสุดเท่าไหร่ และการบังคับควบคุมรวมถึงระบบรองรับจะเป็นเช่นไร ทุกเรื่องของรถคันนี้พร้อมเสริฟ์ให้ทุกท่านรับชม…ยกเว้นอย่างเดียวคือเรื่องของราคา
Ora Good Cat ได้เข้ามาโชว์ตัวในประเทศไทยในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งสร้างกระแสเกรียวกราวไม่น้อย และเมื่อไม่นานมานี้ได้เปิดจองสิทธิซื้อพร้อมแคมเปญพิเศษก็เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเช่นกัน หลังจากเปิดจองสิทธิผ่านไปเพียง 24 ชั่วโมง มีผู้ให้การตอบรับลงทะเบีบนใช้สิทธิกว่า 4,200 ราย ซึ้งแคมเปญนี้ยังต่อเวลาไปจนถึง 29 ตุลาคม หรือก่อนที่จะเปิดราคาจำหน่าย เมื่อรวมหลายๆรายการของแถม จะมีมูลค่ากว่า 200,000 บาท
การนำเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ GWM ได้แบ่ง เป็น 3 รุ่น ได้แก่ 400 Tech มีให้เลือก 2 สี คือ ดำ กับ ขาว ส่วนรุ่น 400 Pro เพิ่มเติมจากรุ่นแรกฟ้า แดงหลังคาดำ และขาวหลังคาดำ ใช้แบต ลิเธียม ไอออน ฟอสเฟส ความจุ 47.8 KWH สิ่งไกลสุด 400 กม. ชาร์จเต็ม 8 ชั่วโมง ด้วย Wall Charge และ 32 นาทีในแบบ Quick Charge
รุ่น 500 Ultra เลือกได้ทั้งหมด 7 สี โดยสีเขียวหลังคาขาว ภายในขาว สีเบสหลังคาน้ำตาลภายใน น้ำตาล จะมีแต่ในรุ่นนี้เท่านั้น และใช้แบต ลิเธียม Ternary ความจุ 63.1 KWH ซึ่ง Quick Charge 40 นาที และ Wall Charge 10 ชั่วโมง
ทั้งนี้ Ora Good Cat ทุกรุ่นจะมีปลั๊กที่สามารถเสียบชาร์จกับปลั๊กบ้านได้เลย เพียงแต่ต้องผ่านการตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า และหากใช้การชาร์จด้วยปลั๊กที่ติดรถ จะใช้เวลานานกว่าการชาร์จทั้ง 2 รูปแบบก่อนหน้า
การออกแบบของ Ora Good Cat เป็นการผสมผสานไอเดียของแฟชั่นนิสต้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน ออสเตเลีย อเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งดีไซเนอร์หลักชาวเยอรมันนั้นยังเคยเป็นอดีตทีมออกแบบรถสปอร์ต Porsche 911
มิติตัวรถยาว 4.2 กว้าง 1.8 สูง 1.5 ม. มากับโครงสร้างตัวถังแพลตฟอร์ม GWM Lemon E เบา แต่แกร่ง เป็นแฟลตฟอร์มเดียวกับ Haval H6
รูปลักษณ์ด้านหน้าละม้ายคล้าย Porche 911 ไฟหน้าแบบแอลอีดีในโคมทรงกลม โต รวมไฟทุกแบบ รวมถึงไฟกลางวันไว้ในโคมเดียวกัน พร้อมระบบเปิดปิด สูงต่ำ อัตโนมัติ ด้านหลังดีไซน์เก๋
ด้านข้างบริเวณโป่งล้อทั้ง 4 ทำจากพลาสติกขึ้นรูปที่มีความแข็งแรงแต่นน.เบา ล้อมากับขนาด 18 นิ้ว ในรุ่น 400 Pro และ 500 Ultra ส่วนรุ่น 400 Tech จะเป็นขนาด 17 นิ้ว หุ้มยางจีนแบรนด์ GITI
บนหลังคาในรุ่น 400 Pro และ 500 Ultra จะติดตั้งพาโนรามิคซันรูฟ ขนาดใหญ่ ควบคุมและสั่งการผ่านสวิตช์ด้านในรถบริเวณเพดาน
ท้ายรถมีสไตล์ ดีไซน์ไฟท้ายคาดยาวจากซ้ายไปขวา ไฟเลี้ยวไว้ใต้กันชน ทั้งหมดใช้ไฟในรูปแบบแอลอีดี ส่วนด้านใต้ทำลักษณะคล้าย ดิฟฟิวเซอร์ ของรถสปอร์ต และไม่มีท่อไอเสีย สำหรับฝาท้ายมาดิบๆ ไม่มีการติดตั้งระบบช่วยเปิด/ปิดแต่อย่างใด
ภายใน Intelligent Cockpit สไตล์เรโทร หรูหรา คลาสสิค หนังเทียมที่นำมาตกแต่งให้อารมณ์ Sort Touch เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ และมีระบบนวดไฟฟ้าให้อีกด้วยสำหรับในรุ่น 500 Ultra ส่วนเบาะหลังกว้างขวาง นั่งสบาย และพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ
พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังค์ชั่น มีปุ่มควบคุมและสั่งงานระบบต่างๆทั้งตัวช่วยความปลอดภัย อาทิ
หน้าจอ Reactive 2 จอต่อกัน สำหรับคอกพิท 10.25 นิ้วเฟรื์มแวร์ Fota มาพร้อมกับความสามารถในการอัปเกรดเฟิร์มแวร์สำหรับการควบคุมระบบขับเคลื่อน ระบบส่งกำลัง ระบบการขับขี่อัจฉริยะต่างๆ รวมถึงระบบ Infotainment และระบบควบคุมอื่นๆ ภายในรถยนต์ได้อย่างง่ายดายผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ รวมถึงการตอบโต้ด้วยเสียงอัจฉริยะผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) มีความสามารถในการจดจำเสียงได้เป็นอย่างดี จึงสามารถช่วยลดการใช้งานจากการกดปุ่ม เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยผู้ขับขี่สามารถสั่งการและโต้ตอบด้วยเสียงเพื่อใช้งานฟังก์ชันต่างๆ รวมไปถึงการเข้าถึงระบบเอ็นเตอร์เทนเมนท์ภายในรถ
หน้าจอแสดงการทำงานของพลังงานแบตเตอรี่ รวมถึงระบบความปลอดภัยทั้ง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบเตือนพร้อมดึงกลับขณะออกนอกช่องทาง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) ระบบเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent Turn) ทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ซึ่งระบบความปลอดภัยเหล่านี้มาจากการประมวลผลด้วยกล้องมองภาพรอบคันที่มีมาให้ถึง 6 จุด และเรดาร์อีก 12 จุดในรุ่น 500 Ultra และ 400 Pro ส่วน 400 Tech จะเหลือเรดาร์เพียง 6 จุด ซึ่งแน่อนอนว่าฟีเจอร์บางรายการนั้นถูกตัดทอนออกไป
ส่วนหน้าจอแสดงระบบบันเทิง 7 นิ้ว ที่วางไว้ในกรอบเดียวกันจะแสดงการทำงานได้หลากฟีเจอร์ นอกจากด้านความบันเทิง ยังสามารถควบคุมและสั่งการตัวช่วยการขับขี่หลายๆรูปแบบผ่านหน้าจอ 7 นิ้วได้ เช่นกัน
มีการติดตั้ง wires Charger มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมเบรคมือไฟฟ้าและ Auto Hold
พลังในการขับเคลื่อนมาจากมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 210 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดเคลมจากผู้ผลิตคือ 152 กม./ชม. พร้อมอัตราเร่ง 0-100 ในเวลาไม่เกิน 10 วินาที พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ธรามดา สปอร์ต Eco Eco+ และมาตรฐาน
แบตเตอรี่ของ ORA Good Cat มาพร้อมอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยทางไฟฟ้าของรถยนต์กว่า 416 รายการ ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวประสิทธิภาพสูง ระบบตรวจจับ 360 องศา ป้องกันการชนกันของแบตเตอรี่ และระบบเตือนแบตเตอรี่อัจฉริยะ
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 788 kWh มีระยะทางวิ่งสูงสุด 400 กิโลเมตร ในรุ่น 400 TECH และ 400 PRO
แบตเตอรี่ชนิดลิเธียม Ternary (NMC) ความจุ 139 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 500 กิโลเมตร ในรุ่น 500 ULTRA
รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง (DC) สูงสุด 60 kW และการชาร์จไฟบ้านแบบ AC 6.6 kW
ระยะเวลาในการชาร์จ
ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0% – 80%) 45 นาที สำหรับรุ่น 400 และ 60 นาที สำหรับรุ่น 500
ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (30% – 80%) 32 นาที สำหรับรุ่น 400 และ 40 นาที สำหรับรุ่น 500
ชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC 8 ชั่วโมง สำหรับรุ่น 400 และ 10 ชั่วโมง สำหรับรุ่น 500แบตเตอรี่รัยประกัน 8 ปี 180,000 กม. และรับประกันตัวรถ 5 ปี 150,000 กม.
สำหรับ Ora Good Cat ทุกรุ่น จะมีการแถมอุปกรณ์ชาร์จไฟบ้านมาให้ในตัว เพียงแต่ต้องตรวจสอบในเรื่องของสายไฟในบ้านให้ผ่านเกณฑ์ และสำหรับหัวชาร์จที่แถมมากับตัวรถนั้น จะใช้เวลาในการชาร์จนานกว่าทั้ง 2 แบบ ที่กล่าวไว้ในข้างต้น
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจนั่นือการเข้าจอดอัตมัติ ที่ทำได้ 3 แบบ ซึ่งในขณะระบบทำงาน ทั้งพวงมาลัย คันเร่ง เบรค รวมถึงกระจกมองข้าง จะปรับระดับเอง เฉกเช่น ขณะนำรถออก ก็สามารถเลือกด้านออกไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็ทำได้
การทดลองขับในครั้งนี้ใช้ระยะทางไปกลับราว 180 กม. มาเริ่มกันที่งานประกอบ ถึงแม้ว่าโครงสร้างแพลทฟอร์มในรูปแบบ Lemon E ที่ได้ความแกร่งจากเหล็กน้ำหนักเบา ซึ่งผสมผสานพลาสติกขึ้นรูป แต่ในด้านการประกอบนั้นไม่ได้ดูด้อย การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำมาค่อนข้างเงียบ จเริ่มมีเสียงเร็ดรอดช่วงความเร็ว 110 กม./ชม.ขึ้นไป
การควบคุมพวงมาลัยมีให้เลือกปรับ 3 รูปแบบ ทั้งปกติ เบา และสปอร์ต ซึ่งนน.ของพวงมาลัยนั้นต่างกันตามโหมดขับขี่
หน้าจอ Interactive ทีผสาน 2 จอรวมไว้ให้เหมือนเป็นชิ้นเดียวกันอาจดูมืดไปสักนิด สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน ทั้งที่ลองปรับความสว่างเข้าช่วยแล้วก็ตาม ด้านการสั่งงานและควบคุมระบบต่างๆด้วยปุ่มกดบริเวณพวงมาลัย อาจสั่งการในขณะที่รถจอดสนิท หรือเคลื่อนตัวในความเร็วต่ำเท่านั้น
การใช้คำสั่งเสียงค่อนข้างจะสั่งการได้ทันใจ อาจเพราะ Ai ตรวจสอบเสียงได้ง่าย ซึ่งนอกจากสั่งการเปิด/ปิด หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ยังสามารถควบคุม วิทยุ ระบบปรับอากาศ รวมถึงเชื่อมต่อการโทรเข้า/ออก
การขับขี่ค่อนข้างตอบสนองได้ดี แต่ต้องทำความคุ้นเคยกับคันเร่งสักนิด และปรับพฤติกรรมการใช้รถสักหน่อย เนื่องจากรถที่มีพลังขับเคลื่อนจากไฟฟ้านั้น หากเหยียบคันเร่งเต็มแรง จะมีอาการรอรอบเอาง่ายๆ วิธีการไม่ยากเพียงเพิ่มนน.เท้าไปจนสุดคันเร่ง การตอบสนองจะดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 143 แรงม้า พร้อมแรงบิด 210 นิวตันเมตร ทำงานผ่านเกียร์ไฟฟ้า อาจจะไม่ได้ดึงจนหลังติดเบาะ แต่ความเร็ววสูงสุดที่ทำได้ใมนครั้งนี้ทะลุตัวเลขที่เคลมจากโรงงาน นั่นคือได้ความเร็วสูงสุดที่ 160 กม./ชม. และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.นั้น ทำได้ใกล้เคียง 10 วินาที
ด้านของระบบช่วงล่างเมื่อความเร็วต่าให้การยึดเกาะถนนที่ดี หนึบ แต่พอความเร็วสูงเริ่มมีอาการโคลงตัว ในจุดนี้หากนำระบบช่วงล่างของรถเก๋งอย่าง ดับเบิล วิชโบน หรือ มัลติลิงค์ อาจจะให้ความนุ่มนวลมากกว่านี้
ส่วนเรื่องระบบเบรก แม้จะเป็นแบบจานทั้ง 4 ล้อ แต่มีบางจังหวะดูทื่อๆ เหมือนเบรกใม่ค่อยอยู่ ตรงนี้ต้องอาศัยความคุ้นชินกับตัวรถและระบบให้มากกว่านี้ ซึ่งน่าจะใช้เวลาปรับตัวไม่นานนัก
บทสรุปของการทดสอบ Ora Good Cat ถือเป็นรถไฟฟ้าที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่น ตัวช่วยการขับขี่ให้มาเต็มพิกัด แถมยังประหยัดจากการชาร์จไฟ ซึ่งหากเทียบต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ค่าใช้จ่ายในรุ่น 400 อยู่ที่ประมาณ 300 บาท และ รุ่น 500 อยุ่ที่ประมาณ 400 บาท โดยระยะทางที่ทำได้จากการเคลมของผู้ผลิตวส่าได้ระยะ 400 กม. และ 500 กม. ถือว่าการทดสอบน่าจะเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการเคลม ด้านรูปลักษณ์แน่นอนว่าเข้าไปโดนใจใครหลายคน ส่วนถ้าจะให้ติ คงเป็นเรื่องระบบช่วงล่างที่กระด้างไปสักนิดเมื่อความเร็วสูง ที่เหลือสอบผ่าน ลุ้นเพียงอย่างเดียวว่า ราคาจำหน่ายที่จะเปิดในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ จะว๊าว และโดนใจขนาดไหน
